วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"การเปลี่ยนแปลงในองค์กร" ความรู้สึกเล็กๆ จากการต้องออกจาก Comfort Zone โดยไม่ตั้งใจ

วันนี้หัวหน้าใหม่ผมมาครับ

หลังจากที่หัวหน้าเก่า กลับญี่ปุ่นไปแบบปุบปับ ก็เข้าสู่การเปลี่ยนศักราชใหม่ของแผนกที่ผมทำงานอยู่ด้วย แน่นอนครับ หลายๆอย่างมันก็ฉุกละหุก และบางทีก็เหมือนจะไม่ทันตั้งตัว

แต่ก็อย่างว่า ผมอยู่ที่นี่มา 10 ปีแล้ว ได้เปลี่ยนทั้งหัวหน้าก็หลายคน ลูกน้องยิ่งบ่อยกว่านั้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า

จริงๆมันไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรในความรู้สึกของผมมากเท่าไหร่ แต่ก็อดคิดไปไม่ได้ว่า จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีไม่งามบ้างหรือเปล่า

ซึ่งเท่าที่เห็นท่าทีอาการของหัวหน้าใหม่นี้ยังไม่แสดงอะไรออกมามากมายนักว่าจะมีอะไรเลวร้าย

งานต่อไปของผมคือคงจะต้องพาแกไปกินไปเที่ยวไปดื่มเท่าที่โอกาสจะอำนวย เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี และหวังว่าแกจะมองข้ามข้อเสียอันน้อยนิด(...?) ของผมไปบ้าง (555)

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกถึงการใช้ชีวิตในองค์กร ที่ถ้าเราอยู่กับมันยาวๆ สิ่งที่เลี่ยงหรือหลีกหนีมันไม่ได้เลยก็คือ “การเปลี่ยนแปลง” ที่ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าหัวหน้าหรือลูกน้อง ใหญ่สุดก็คงเป็นแผนก

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ ถ้าทำงานมาสัก 5-10 ปี ก็คงต้องมีการโยกย้ายแผนกกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (อย่างผมนี่ถือว่ามาก ส่วนใหญ่จะย้ายผมไปแก้ปัญหาที่คนอื่นก่อไว้ แต่มีครั้งหลังสุดนี่แหละ ที่ย้ายผมมาเพราะไม่งั้นผมจะลาออก... เรื่องมันยาว ไว้คราวหลังละกันนะ)

ทีนี้ ที่ผมเห็นคือ หลายๆครั้ง ทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ก็มีความกังวล มีความกลัว ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองนั้น จะดีร้ายประการใด

แน่นอน ถ้ารู้ว่ามันจะออกมาดี คงไม่มีใครมานั่งเครียด และมันก็เป็นธรรมชาติของคนเรานี่แหละ ที่จะทุกข์เสมอ เมื่อมองไปยังสิ่งที่ไม่เห็นตรงหน้าอย่าง “อนาคต”

ผมเคยเจอเคสนึง รุ่นน้องในที่ทำงานคนนึงที่ไม่เคยเป็นลูกน้องผมตรงๆหรอก ก็ทำงานกันไป วันนึงมีการปรับ organize โดยผมต้องเลือกลูกน้องให้อยู่ประจำ process ของผมตรงนี้คนนึง ซึ่งผมไม่ได้เลือกเธอ แต่ไปเลือก foreman ที่ผมสนิทสนมกว่า ทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและรู้สึกว่าเธอถูกแยกตัวเองออกจาก Comfort zone ที่เธอชอบตรงนี้ (เธอสนิทกับ foreman ของผมคนนี้มาก) และพอเธอรู้ว่าต้องถูกแยกออกไปอยู่กับหัวหน้าอีกคนที่ตำแหน่งเท่าผม แต่เขี้ยวลากดินกว่ามาก ก็กลายเป็นว่าเธอรู้สึก “กังวล” จนมันบีบคั้นเป็นความรู้สึก กอปรกับจังหวะมีงานเลี้ยง พอเหล้าเข้าปากหน่อยก็มีอารมณ์และมาตัดพ้อกับผมพร้อมน้ำตานองหน้าว่า ทำไมผมต้องทำกับเธออย่างนั้น

ผมก็อธิบายให้เธอฟังไปว่า “ผมเลือกได้แค่คนเดียว และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กจบใหม่ไม่กี่ปีอย่างเธอคือ ปล่อยให้เธอไปเจอให้ครบ”

เจอให้ครบ ในที่นี้ ผมหมายถึง คนเราต้องออกจาก Comfort zone กันบ้าง ไปอยู่ที่ๆมันอาจจะหนักหน่วงกว่าที่เก่าเราบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดเป็นแดนมิคสัญญีอะไรขนาดนั้น ก็แค่ หัวหน้าใหม่ เขี้ยวกว่าหัวหน้าเก่า (อย่างผม) แค่นั้นเอง

เธอร้องไห้และกลับบ้านไปในวันนั้นด้วยความรู้สึก “ไม่อยากยอมรับ” แต่ก็จนใจและทำอะไรไม่ได้

ล่าสุด หลังจากนั้น 3-4 ปี ผมก็เห็นว่าเธอสามารถเข้ากันได้กับแผนกเป็นอย่างดี เล่นการเมืองพอได้ และไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหัวหน้าใหม่แม้แต่น้อย ยิ่งลักษณะของเธอนั้นเป็นเด็กหัวอ่อนพอสมควร หัวหน้าว่าอะไรก็ไม่ได้ขัดหรือกระฟัดกระเฟียดใส่ นั่นทำให้เธอก้าวหน้าไปได้เป็นอย่างดี

ซึ่งดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก

และความสัมพันธ์ของเธอกับ foreman คนสนิท ก็ดีเหมือนเดิม พวกเธอยังหาโอกาสไปกินข้าว นั่งคุย นั่งเล่นกันเป็นระยะๆ อย่างไม่มีปัญหาใดๆให้กังวล

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

จริงๆคนเราทุกคนก็กลัวนั่นแหละครับ กลัวสิ่งที่มันอยู่ตรงหน้า และยังมาไม่ถึง และที่น่ากลัวกว่านั้น คือ เราทำอะไรกับมันไม่ได้ มีใครเปลี่ยนแปลงอนาคตที่ยังมองไม่เห็นได้บ้างล่ะ ไม่มีครับ มีก็แต่ การ “เตรียมพร้อม” เพื่อรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ซึ่งจริงๆก็อย่างที่บอกแหละครับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ “บริษัท” ที่เราเป็นลูกจ้างนั้น มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว และเราก็ต้องปรับตัวตามมันให้ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ซึ่งผมก็กล้าพูดครับว่า คนส่วนใหญ่นั้นทำได้ครับ มีแค่คนส่วนน้อยที่ EQ ต่ำจริงๆ ที่ไม่สามารถปรับตัวกับอะไรใหม่ๆได้เลย

และผมเชื่อว่า ทุกๆการเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องนำพามาซึ่งสิ่งดีๆให้กับเราแน่นอนครับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เราเปลี่ยนแล้วแย่เท่าไหร่หรอกครับ อาจมีบ้าง กรณีที่ได้หัวหน้าดีมาก่อน แล้วมาเจอหัวหน้าใหม่นั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ก็เท่านั้นแหละครับ นั่นก็แค่หน้าหนึ่งของชีวิต อย่าไปยึดติดอะไรกับมันมาก

ถ้าไม่พอใจในระบบ ในองค์กร ในหัวหน้า ใน ฯลฯ ก็ วางแผนครับ หาทาง ออกมาทำอะไรของตัวเองเสีย อาจไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ แต่ค่อยๆสร้าง เริ่มจาก 0 วันนี้ นับหนึ่งไปเรื่อยๆ จนวันที่เราพร้อม อาจจะไม่ได้ดีเลิศมากมายอะไรนัก แต่ถ้าเรารู้ว่า เรา “ออกมา” ได้ แล้วล่ะก็

นั่นแหละครับ การ “เริ่มต้น” เข้าสู่ “การเปลี่ยนแปลง” ที่ยิ่งใหญ่.... ยิ่งใหญ่กว่าอะไรในที่ทำงานที่เราจะได้เคยเจอมาแน่นอนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หมดไปอีก 1 วันที่ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม (เหลือ 188 วัน)

สรุป เมื่อวานก็ไม่ได้ไปออกกำลังกาย

เพราะน้ำมูกมาเยอะมากตอนเย็น แถมเข้าร้านไป มีอาการปวดหัวนิดๆอีก

ข้ออ้างทั้งนั้น

จะออกกำลังกาย มันต้อง NO EXCUSE!!!

แต่ตูนี่ Excuse เพียบครับ

เมื่อวานพอตัดสินใจจะไม่ไปออกกำลัง ก็เลยจะไปหาอะไรกิน (ดูดิ๊น่ะ แล้วมันจะผอม?)
ขับรถออกไปหน้าหมู่บ้าน จะไปกินข้าวต้ม ว่าจะสั่งกระเพราหมูไข่ดาวของโปรด

ร้านดันไฟดับ

ไม่ได้ดับร้านเดียว ดับแม่มทั้งแถบ ท่าทางจะตกหนักจริงๆ

แฟนเลยชวนว่าน่าจะไปหาอะไรง่ายๆที่กินได้ไม่ต้องเปียกฝนแทน
ไปๆมาๆ จบที่ Hot pot ณ Home pro ซะงั้น
จัดเต็มอีก ว่าจะกินเบาๆแล้วนะ
ไอ้ตอนนั่ง มันก็โอเคอ่ะ ไม่แน่น
แต่พอลุกเดินนี่ อื้อหืมม ไม่อยากพูด

กลับเข้าบ้านมา ก็ต้องมานั่งเปิดคอมฯ
แฟนให้หาบริษัทผลิตครีม ก็เปิดคอมเข้าไปแล้วก็รอ.... ให้มันเปิด chrome ได้
ปรากฏ 2 ชม. แทบไม่ได้ทำอะไรเลย
รอไปละก็รอมา
คอมกูไม่น่ารอดอีกแล้วสินะ เฮ้อ...

สงสัยต้องไปซื้อคอมใหม่ซะที (แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีเวลาเท่าไหร่ T T)

สุดท้าย เมื่อคืนก็หลับไปด้วยเวลาดี เที่ยงคืนเป๊ะ Click บ๊ง Click Bank ไม่ได้แตะครับ รำคาญคอมฯ แม่มอืดเกิน

ตอนตื่นมาก็งอแง หัวหน้าไม่อยู่ เลยไปสายแม่มเลย พนักงานดีเด่นจริงๆตูนี่

เอาละ วันนี้ชิลๆ ไม่มีอะไรมาก
ตอนกลางวัน หาเวลาว่าง เปิดดูหุ้น หาหุ้นน่าลงทุนดีกว่าเนอะ ^^

เหลืออีก 188 วัน

เหลือ 189 วัน - นอนดึก นอนเยอะ ก็ยังรู้สึกเหมือนนอนไม่พอ

เมื่อวานเย็นกลับเข้าร้านไป ก็ต้องพาแฟนไปหาลูกค้าอีก 2-3 เจ้า

เอาด้ามจูงไปติดกับม่านให้ลูกค้า เพราะเขาบอกว่า ผ้าม่านอยู่สูงไป จับไม่ถึง จะดึงก็กลัวมือเลอะ ก็ติดให้ฟรีครับ เป็นบริการร้าน

ถัดมาก็ต้องไปเอาแคตาล็อกที่ฝากให้คนรู้จักเขาเลือกผ้าม่านไว้สำหรับบ้านใหม่ รู้สึกจะเป็นโครงการ "วินสตัน พัทยา" นะ ท่าทางตัวบ้านน่าจะสวยดี เห็นแฟนบอกอย่างนั้น

เสร็จแล้วก็ต้องไปเอาผ้าที่ร้านเย็บอีก

ระหว่างนั้นก็แวะ Food land ที่พัทยากลางหาอะไรกินเบาๆ(??) ก็พอจะทำให้อิ่มท้องกลับบ้านนอนได้ชิลๆ

แต่พอกลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเปิดคอมแล้วทำงานการตลาดอีกสักนิดนึง

ร้าน Car care ของคนรู้จักที่เราไปลงโฆษณาให้ ก็ดูเหมือนจะได้รับการตอบสนองค่อนข้างดี แต่ว่า มีแค่ยอดคนกดไลค์ แต่ไม่ได้ออเดอร์ (โฆษณา promote งานเคลือบแก้วรถยนต์)

มานั่งๆคิดดู ก็น่าจะเป็นเพราะ
1) ราคา มันสูงไป ไม่ใช่อะไรที่จะจ่ายกันง่ายๆ
2) มันไม่ใช่ของจำเป็น ไม่ซื้อตอนนี้ก็ไม่ตาย ไม่เหมือนผ้าม่าน ที่มีบ้าน ยังไงก็ต้องทำ แต่เคลือบแก้ว.... อันนี้ มันตอบได้ไม่ยากเลยว่า เป็นสิ่งของ "ไม่จำเป็น"
3) คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า เคลือบแก้วมันดียังไง อันนี้ อาจเป็นเพราะตลาดมันยังไม่เข้าใจสินค้า จะให้ demand มันเกิด ก็คงยาก

เลยคุยกับเจ้าของร้าน ว่าคงจะลงโฆษณาอีกสักพัก ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากลูกค้ามากขึ้น ก็จะเปลี่ยนสินค้าไปเลย อาจเป็นซักเบาะ ทำสปารถ อะไรงี้แทน

คุยกะเจ้าของร้านเขาเสร็จ ก็อดทำของร้านตัวเองไม่ได้ ก็ต้องมาทำรูป อัพลงเฟส เพิ่มผลงานเข้าไปอีกหน่อย ดีกว่าปล่อยให้ร้านร้างไปเฉยๆ เห็นแฟนบอกว่า ที่ร้านมีแฟนคลับ รอชมผลงานอยู่เรื่อยๆด้วยนะนี่ อิๆๆ แอบปลื้มซะ

แต่กว่าจะทำเสร็จ ก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง อาบน้ำนอนแล้วก็คิดว่า "ตูคงไปทำงานสายอีกตามเคย" ก็แน่ล่ะ กว่าจะกลับเข้าบ้านก็ไปเข้าไปจะ 5 ทุ่มแล้ว ยังจะทะลึ่งทำงานต่ออีก น่าด่าตัวเองมิใช่น้อย

ตอนนี้พิมพ์ๆอยู่ก็เย็นแล้ว กะลังจะเลิกงาน แหม่.... กว่าจะใช้คอมได้ ก็ปาเข้าไปเป็นชม. เพราะดันมีมือดีโต๊ะข้างๆ ถอด hub lan เราออกไป ไอ้เราก็ไม่ทันสังเกตุ ว่าก่อนหน้านี้มันมีอะไรอยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ แล้วสาย lan 3-4 เส้น มันไปต่อเข้ากับตรงไหนวะ ที่เห็นก็มีอยู่รูเดียวเนี่ย ตาม IT มาดู ก็งงพอกัน

ไอ้โจรตัวแสบมันเห็นท่าไม่ดี เลยเอาของมาคืน เราเลยรอดตัว มีคอมใช้ไป

เดี๋ยววันนี้ กลับบ้านไป ก็คงไปช่วยงานที่ร้านต่อ
แต่ไม่ไหวละ ต้องหาทางออกกำลังกายบ้าง
คงต้องเข้าบ้านไปเปลี่ยนชุด แล้วออกไปฟิตเนสสักที หลังจากปล่อยให้ตัวเองอ้วนท้วนอุบาทว์ร่างได้ขนาดนี้ 555 ขำทั้งน้ำตา

ดูเหมือนหนทางข้างหน้าจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเท่าไหร่
ยังดี วันนี้พอมีเวลา วาดรูปตัดเส้น sticker ได้อีก 4 รูป ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำไรเลยล่ะนะ

ประชุมกีฬาสีตอนบ่ายก็ค่อนข้างไร้สาระ อย่าให้พูดเลย มันยาว
เอาเป็นว่า ตอนนี้ เราไปหาทางออกกำลังกายของเราดูบ้างดีกว่าเนอะ

สู้ๆครับ

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

190 วันสุดท้าย ก่อนสิ้นสุดชีวิตการเป็นลูกจ้างงานประจำ 10 ปี

โพสนี้ ผมอยากให้มันเป็นการเริ่มต้นสำหรับตัวผมเอง

ที่ทำงานในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นโรงงานขนาดใหญ่ มีพนักงานร่วม 5000 คน ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง

ผมทำงานที่นี่ได้ 10 ปีแล้วครับผม

ยาวนานมากๆ สำหรับการจะเล่าให้ใครสักคนฟัง
แต่พอมองย้อนหลังกลับไป มันกลายเป็นเหมือนความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น สำหรับอดีตตลอด 10 ปีนี้

ผมเริ่มงานที่นี่ตั้งแต่ประมาณกลางปี 2005

และสิ้นปีนี้ 2015 ก็จะครบกำหนด 10 ปีครึ่งของการทำงานที่นี่พอดีครับ

จริงๆ ผมก็คิดไว้สักพักแล้วว่าจะลาออก แผนตอนแรกคือปลายปีหน้า รับโบนัสปลายปีแล้วก็จะลาออกมาช่วยกิจการร้านผ้าม่านที่แฟนทำอยู่ตอนนี้เลย

แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ประกอบกับความขี้เกียจด้วย อิ่มตัวด้วย
ผมจึงรู้สึกว่า ไม่อยากรอนานขนาดนั้น

เลยคุยกับแฟน เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆที่ผมมีอยู่ บวกกับของแฟนที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
ก็ได้ข้อสรุปว่า

ผมควรจะลาออกตั้งแต่ปลายปีนี้เลย

ซึ่ง แม้จะลาออกเฉยๆนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากมายเท่าไหร่ เพราะผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างพอสมควร แต่ติดที่ค่าใช้จ่ายประจำจากหนี้บ้านและรถเท่านั้น ซึ่งจริงๆก็สามารถใช้รายได้จากร้านผ้าม่านมาจุนเจือจนใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่ลำบาก

แต่ไอ้ครั้นจะให้ออกไปกินเงินเดือนแฟน ไอ้เราก็ติดหัวโขน เคยหาเงินได้เดือนละ 6-7 หมื่นจากเงินเดือน จะไปแบมือขอตังค์แฟนก็ใช่ที่

ผมเลยต้องหาอะไรทำให้ตัวเองมีรายได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง

ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำสติ๊กเกอร์ขายแล้ว แม้จะแค่ set เดียว และได้เงินกลับมาไม่เยอะ แต่ผมคิดว่า นี่แหละ passion ของผม นี่คือสิ่งที่ผมทำแล้ว ทำได้ดีกว่าคนอื่น ผมทำได้ไวกว่าคนอื่น เลยคิดว่าจะยึดหนทางนี้เป็นอาชีพหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองให้ได้ และในเวลาครึ่งปีนี้ ผมก็ต้องทำให้มันงอกเงยเป็นเงินทองที่มากพอจะทำให้ผมมีรายรับเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง

ตอนที่ผมคิดว่าจะออกปลายปีหน้า (2016) มันก็ยังเอื่อยๆอยู่ ไม่ได้คิดว่าต้องรีบร้อนทำอะไรมากมายนัก

แต่พอมาตอนนี้ คิดว่าจะออกปลายปีนี้ (2015) ทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำให้ผมต้องรีบเร่ง และทำมันอย่างจริงจังเพื่อให้มันออกดอกออกผลมากพอจะทำให้ผมเห็นว่า ทุกสิ่งที่ผมทำไป มันได้ผลลัพธ์กลับมาบ้าง ไม่มาก ก็น้อย

ผมเลยคิดว่า จะทำให้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ อีก 190 วัน (6 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์) กลายเป็น 190 วันที่มีความหมายที่สุดสำหรับชีวิตลูกจ้างของผม

นั่นคือ

การออกจาก comfort zone ให้ได้ด้วยตัวเอง ภายในระยะเวลาครึ่งปีที่เหลือนี้
ผมจะตั้งใจ ทำทุกอย่าง เหมือนมันเป็น 6 เดือนสุดท้ายของชีวิต
จะตั้งใจ ทำทุกสิ่งอย่าง ให้สำเร็จครบถ้วน ต่อให้ไปไม่ถึงดวงดาว ก็น่าจะพอจับต้องผลลัพธ์อะไรได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนั่นแหละ

ซึ่ง เดี๋ยวผมจะมาแถลงให้ฟังอีกทีนะครับ ว่าเป้าหมายของผมในครึ่งปีนี้ มีอะไรบ้าง

สู้ๆ (บอกตัวเองอย่างนั้น)

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แชร์ประสบการณ์การทำสติ๊กเกอร์ขายในไลน์ครับ

ผมมาเขียนรอไว้ก่อนเลยละกัน เผื่อมีใครสนใจในอนาคต
ว่าผมทำสติ๊กเกอร์ยังไง เริ่มยังไง

ถ้าให้ตอบแบบตรงๆเลยนะครับ
คือ ผมไม่ต้องสอนหรอกครับ
ถ้าคุณสนใจอยากทำจริงๆ
เดินเข้าร้านหนังสือเลยครับ
หาหนังสือที่สอนทำสติ๊กเกอร์ไลน์พวกนี้
เดี๋ยวนี้มีเยอะมากครับ
ดูเหมือน se-ed จะหาง่ายกว่านายอินทร์หรือเปล่า ไม่แน่ใจ

แต่ไม่เป็นไรครับ
ของพวกนี้ หากันไม่ยาก

และบอกเลยครับ
นอกจากค่าหนังสือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าไฟ แล้ว

เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มอีกเลยครับ
ขอแค่มีความมุมานะ อดทน ทำไปเรื่อยๆ จนเสร็จ ก็ส่ง submit
รอทางไลน์เขา review สักเดือนหรือสองเดือน
พอเสร็จแล้ว
เขาก็จะส่งเมลล์มาแจ้งเราเองครับ ว่าสติ๊กเกอร์เราผ่านการ approve แล้วนะ ขายได้แล้ว
เราก็ไปกดคลิ๊กขาย แค่นั้นครับ

ที่ยาก คือการทำยังไงให้สติ๊กเกอร์เราขายดีติดอันดับดีกว่า
เพราะสังเกตุนะครับ นอกจากช่องทางโปรโมตแล้ว
ทางไลน์เขาจะจัดวางสติ๊กเกอร์อย่างไร เราแทบไม่มีทางรู้เลย
มันไม่เหมือน seo ที่จะสามารถทำ backlink ยิง traffic เขาสินค้าเราเพิ่มยอดขายได้

ซึ่งจุดนี้ หนังสือเล่มไหนก็ไม่ได้บอกไว้ครับ
ผมต้องมาหาทางแกะรอย หาคำตอบเอาเองครับ

เข้าเรื่องเลยดีกว่า
ผมใช้อะไรวาด
ตอบเลยครับ

Galaxy Note 4 ครับ
ที่มีปากกา

วาดโดยใช้แอพ ArtFlow

หน้าตาไอคอนสีฟ้าๆ search หาไม่ยากครับ
เป็นคู่แข่งกับ Autodesk แต่ Autodesk เขาทำแทบทุกอย่างครับ ทั้งวาดรูป กล้อง เขียนแบบ อะไรที่เป็นเชิงกราฟฟิค พี่แกทำหมด

ที่ผมไม่ใช้ Autodesk เพราะว่า ใน Note 4 หน้าจอบางหน้าของการใช้งาน Autodesk มันจะแสดงผมไม่เต็มหน้าครับ

ไม่ได้ด่า Autodesk หรืออะไรนะครับ ยอมรับเลยว่าของ Autodesk เขาดีจริงๆ ถ้าใครถนัดใช้งานได้ก็ดีครับ แต่ผมลอง ArtFlow แล้วถนัดกว่าเท่านั้นเอง

ก่อนหน้านี้ผมมี Note 10.1 ก็ใช้ Autodesk มาโดยตลอดครับ เพิ่งมาเปลี่ยนเอาตอนได้เจ้า Note 4 มาตอนหลังๆนี่เอง

วาดไม่ยากครับ ArtFlow วาดเสร็จ มันมีเมนูทำไฟล์เป็น png แล้วดึงฉากหลังออกให้ด้วย เหมือนที่ทาง line ต้องการเลย
เพียงแต่เราแค่ต้องไปใส่ขนาดใหม่ใน photoshop หรือโปรแกรมอื่น แล้วก็เซฟก่อนจะอัพโหลดเข้าไปให้ทางไลน์เขานั่นเอง

แต่ยอมรับครับว่า โปรแกรมนี้ ช่วยได้เยอะเลยจริงๆ

เอาแค่นี้ก่อนนะครับ
ขี้เกียจพิมพ์ต่อ ไว้มีอะไรอยากถาม ถามได้ครับ
(ถ้ามีคนอ่านนะ อิๆๆ)