เคยเจอมั้ยครับ คำถามที่ว่า
"อยากจะเริ่มธุรกิจ"
"อยากมีอะไรเป็นของตัวเอง"
"อยากออกจากงานประจำ"
เชื่อได้เลยว่า
ถ้าใครที่เรียนจบแล้วทำงานได้สักระยะ
จะต้องได้ยินประโยคแนวๆนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย
sticker line
จริงๆผมเองก็ไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จอะไรมากพอจะมาบอกมาสอนคนอื่นได้หรอกครับ
แต่เพราะว่าผมเองนั้นทำงานประจำมาหลายปีอยู่
ประกอบกับตอนนี้ก็มีธุรกิจที่ทำร่วมกับแฟนเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว
ความคิดความอ่านต่างๆ มันเลยก้ำกึ่งกันอยู่ระหว่าง
"ลูกจ้าง" กับ "นายจ้าง"
พอสมควร
ผมต้องทำงานประจำตั้งแต่เช้า ตื่นตั้งแต่ 6 โมงนิดๆ
ออกไปทำงาน ฝ่ารถติดเพื่อเข้างานก่อน 8 โมงเช้า
และเลิกงานตอน 5 โมงเย็น (ซึ่งส่วนมากก็มักจะมีงานค้างจนกลับ 5 โมงตรงไม่ได้) ฝ่ารถติดกลับถึงบ้านอีกรอบ ก็ยังไม่ได้เข้าบ้านครับ ต้องมาช่วยแฟนที่ร้านอีก
อาจจะขนของ ไปเอาของ ไปส่งของ ไปรับของ ไปวัดหน้างาน รอลูกค้าเข้ามาที่ร้าน ฯลฯ
สติ๊กเกอร์ ไลน์
จริงๆคนดำเนินธุรกิจหลักๆคือแฟนผมครับ
แต่ผมก็ช่วยเธอด้วยตามสมควร
ตอนนี้ผมเลยได้เห็นว่า
การจะเริ่มธุรกิจนั้น ไม่ได้ยากมากหรอกครับ
มันแค่เจอ "ปัญหาหลายข้อ" พร้อมๆกัน
จะเปิดร้าน ต้องหาทำเล ราคาเท่าไหร่ เงินเก็บไม่พอ ไหนจะค่าแต่งร้าน ค่าเช่า ค่ามัดจำ ค่าทำสัญญา ลูกจ้างล่ะต้องมีมั้ย จะหาลูกค้ารายแรกๆยังไง คนจะรู้จักร้านเราได้ยังไงบ้าง จะทำการตลาดทางช่องทางไหนดี คู่แข่งเรามีใครบ้าง แล้วมันจะไปรอดมั้ย วันๆนึงจะได้กำไรเท่าไหร่ ถ้าขาดทุนล่ะจะทำยังไง?
คำถามเป็นล้านข้อ ประเดประดังเข้ามาตั้งแต่ยังไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย
จริงๆผมแนะนำว่า
ให้เริ่มตอบคำถามทีละข้อดูก่อนครับ
ถ้าข้อไหนที่จำเป็น ก็ให้ตอบก่อนเลย หาคำตอบให้ได้ครับ ไปทีละข้อๆ
อย่าลืมว่า ถ้ามันยังเป็น project อยู่ในหัวเรา มันก็ยังไม่ต้องเสียตังค์ครับ
ข้อสำคัญที่สุดที่ผมรู้สึกได้ก็คือ
สติ๊กเกอร์ น่ารัก
1. เงินทุน จะหาจากไหน เรามีพอหรือเปล่า งบประมาณทั้งหมดที่จำเป็นคือเท่าไหร่ ลดได้อีกมั้ย อะไรไม่จำเป็นอีก ตัดออกไปก่อน ดูเอาความจำเป็นตั้งต้นเป็นหลัก และเรามีงบสำรองมั้ย
ไม่ใช่ว่าเก็บได้ทั้งชีวิต 3 แสน เอาไปลงหมดเลย 3 แสน ไม่พอมันจะลำบากนะครับ เวลาต้องหาเงินมาหมุนก่อน กว่าจะเก็บตังค์จากลูกค้าได้ แสนสาหัสนะครับ
2. การตลาด เราจะหาลูกค้าจากไหน แน่นอนครับ เปิดร้านมันก็เหมือนตั้งรับ มีหน้าร้าน มีลูกค้า walk in แต่ความเป็นจริงแล้ว เราจะ approach ลูกค้าได้จากทางอื่นทางไหนบ้าง เรื่องนี้ต้องคิดให้ดีครับ ถ้ายังหาลูกค้าไม่ได้ หรือยังประเมินตลาดไม่ได้ อย่าเพิ่งใจร้อนทำอะไรลงไปเชียวครับ ลองตลาดให้ได้ก่อน ค่อยว่ากัน
3. คุณภาพของสินค้าหรือบริการ ต้องมั่นใจนะครับ ว่าเราสามารถต่อกรกับคู่แข่งในตลาดได้ ที่สำคัญ ต้องมีความสามารถในการเพิ่ม "ระดับของคุณภาพ" ด้วย อย่าเอาเงินไปลงๆๆๆ แล้วก็ปล่อยให้มันมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆเหมือนเสือนอนกิน มันไม่ได้หรอกครับ จะกลายเป็นเสือนอนตายเสียมากกว่า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะธุรกิจอะไร ต้องลงไปคลุกวงในกับมันก่อนครับ คลุกให้หมด เอาให้ครบทุกลูก เวลาผ่านไปมันจะกล่อมเกลาเราเอง ให้กลายเป็น "กูรู" เฉพาะทาง ทีนี้ ก็จะ "มีของ" เอาไว้ป้องกันตัวเองจากลูกค้ากวนๆหรือคู่แข่งแสบๆได้ดีขึ้นครับ
จำไว้นะครับ
การจะเริ่มต้นธุรกิจ จริงๆมันไม่ได้ยากอะไร
แต่ต้องวางแผนดีๆครับ อะไรคือเท่าไหร่ อะไรต้องเป็นยังไง ต้องวางให้ครบ เอาให้เป๊ะที่สุด แม้ความเป็นจริงมันจะหลุดไปบ้าง แต่พลาดดวงจันทร์ ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาวนะครับ
ขอแค่อย่ายอมแพ้ ทำอะไรทำให้สุด แล้วจะพบว่า มันมีช่องทางให้เราเดินต่อเสมอ เจอทางตัน ก็แค่อ้อม ขุด ปีนข้าม หรือแม้แต่ย้ายเส้นทางเดิน เราทำได้หมดครับ
อย่าเอาแต่ "คิด" แล้วไม่ได้ทำ
สุดท้าย รู้สึกตัวอีกที ก็ผ่านไปปีนึงอีกและ
ชีวิตยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ลำบากนะครับ แบบนั้น
สติ๊กเกอร์ Line
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
สติ๊กเกอร์ผมขายได้แล้วววว - เย้.....
หลังจากความพยายามแบบลุ่มๆดอนๆทุกลักทุเลมานะครับ
ผมก็เพิ่งจะได้รับการ approve จากทางไลน์มาว่า
สติ๊กเกอร์ผมผ่านการ Review แล้ว และสามารถขายได้แล้วในที่สุด
จริงๆผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับมันมากเท่าไหร่หรอกนะครับ
แต่แฟนผมกลับเห็นว่านี่เป็นความสำเร็จชิ้นใหญ่ของผมเลยทีเดียว
เพราะการทำ Sticker ได้นั้น มันไม่ได้ทำกันได้ทุกคน Sticker Line
และยิ่งพอผมมาที่ทำงาน
ก็มีหลายๆคนทักเข้ามาเรื่องสติ๊กเกอร์
และต่างคนก็ต่าง download กันไปอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว
คือ... มันทำให้ผมรู้สึก "ดีใจอย่างบอกไม่ถูก"
คือ นึกออกมั้ยครับ
หลายๆคนที่เขาไม่ได้ผูกบัญชีไลน์กับบัตรเครดิต แต่เพราะเป็นเพื่อนผมอ่ะ อยากโหลด แต่โหลดไม่ได้
ก็มาขอให้ผมช่วยโหลดให้ มายืนล้อมผมกันใหญ่เลย อารมณ์ว่า ผมเป็นเจ้าของผลงานสุดเจ๋งอะไรอย่างนั้น
ผมก็เป็นปลื้มสิครับงานนี้
นี่ก็ว่า เดี๋ยวจะไปหาทางโปรโมตสักทางสองทาง
อย่างแรกก็คงต้องไปหาเว็บที่โปรโมตสติ๊กเกอร์ไลน์ของเราได้ จะเสียรายวันรายเดือน ก็ว่ากันไป ลองทำดูจะออกมาหน้าอินหน้าพรหมแค่ไหน ก็ไม่รู้ได้
เอาเป็นว่า ลองทำดูก่อนละกันนะครับ
สติ๊กเกอร์ ไลน์
อย่างที่สอง ก็ว่าจะลองใช้ Facebook Ads ช่วยโฆษณาให้โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อวันประมาณ 30 บาท
ก็ตกประมาณไม่ถึงเหรียญ แต่ถ้ามียอด download เข้ามาเยอะๆ ก็น่าจะโอเคอะนะครับ
อย่างที่สาม ก็ว่าจะลองทำ SEO ดูบ้าง ถ้าเราทำลิงค์เข้าไปที่หน้าขายสินค้าเราเลย มันจะ work ไหม ต้องลองดูครับ
ที่มาโพสกระทู้นี้ก็ไม่ได้อะไรมากหรอกครับ
ก็แค่อยากจะแชร์ความรู้สึกของความสำเร็จ"เล็กๆ" ที่มันอาจจะไม่ได้มีประเด็นอะไรมากนัก
แต่มันก็สามารถทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้ในชีวิตประจำวันของเราเท่านั้นเอง
อีกไม่นาน ผมจะพยายามคลอดสติ๊กเกอร์ชุดที่ 2 ออกมาให้ได้ครับ
ต้องให้จบภายในไม่เกินเดือนหน้า
และหลังจากนั้นก็รอ Review
ระหว่างนี้
ลองเข้าไปชมกันนะครับ ว่า sticker ของผมถูกใจทุกคนหรือเปล่า
ตามลิงค์นี้เลยครับ
http://line.me/S/sticker/1133078
ถ้าชอบไม่ชอบอย่างไร ถูกใจมากน้อยแค่ไหน ช่วยรีวิวหรือ comment ให้ผมทราบทีนะครับ
ผมจะได้เอาไปปรับปรุงกับสติ๊กเกอร์ชุดต่อๆไปของผมครับ
ขอบคุณคร้าบบบบบ
ผมก็เพิ่งจะได้รับการ approve จากทางไลน์มาว่า
สติ๊กเกอร์ผมผ่านการ Review แล้ว และสามารถขายได้แล้วในที่สุด
จริงๆผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับมันมากเท่าไหร่หรอกนะครับ
แต่แฟนผมกลับเห็นว่านี่เป็นความสำเร็จชิ้นใหญ่ของผมเลยทีเดียว
เพราะการทำ Sticker ได้นั้น มันไม่ได้ทำกันได้ทุกคน Sticker Line
และยิ่งพอผมมาที่ทำงาน
ก็มีหลายๆคนทักเข้ามาเรื่องสติ๊กเกอร์
และต่างคนก็ต่าง download กันไปอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว
คือ... มันทำให้ผมรู้สึก "ดีใจอย่างบอกไม่ถูก"
คือ นึกออกมั้ยครับ
หลายๆคนที่เขาไม่ได้ผูกบัญชีไลน์กับบัตรเครดิต แต่เพราะเป็นเพื่อนผมอ่ะ อยากโหลด แต่โหลดไม่ได้
ก็มาขอให้ผมช่วยโหลดให้ มายืนล้อมผมกันใหญ่เลย อารมณ์ว่า ผมเป็นเจ้าของผลงานสุดเจ๋งอะไรอย่างนั้น
ผมก็เป็นปลื้มสิครับงานนี้
นี่ก็ว่า เดี๋ยวจะไปหาทางโปรโมตสักทางสองทาง
อย่างแรกก็คงต้องไปหาเว็บที่โปรโมตสติ๊กเกอร์ไลน์ของเราได้ จะเสียรายวันรายเดือน ก็ว่ากันไป ลองทำดูจะออกมาหน้าอินหน้าพรหมแค่ไหน ก็ไม่รู้ได้
เอาเป็นว่า ลองทำดูก่อนละกันนะครับ
สติ๊กเกอร์ ไลน์
อย่างที่สอง ก็ว่าจะลองใช้ Facebook Ads ช่วยโฆษณาให้โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อวันประมาณ 30 บาท
ก็ตกประมาณไม่ถึงเหรียญ แต่ถ้ามียอด download เข้ามาเยอะๆ ก็น่าจะโอเคอะนะครับ
อย่างที่สาม ก็ว่าจะลองทำ SEO ดูบ้าง ถ้าเราทำลิงค์เข้าไปที่หน้าขายสินค้าเราเลย มันจะ work ไหม ต้องลองดูครับ
ที่มาโพสกระทู้นี้ก็ไม่ได้อะไรมากหรอกครับ
ก็แค่อยากจะแชร์ความรู้สึกของความสำเร็จ"เล็กๆ" ที่มันอาจจะไม่ได้มีประเด็นอะไรมากนัก
แต่มันก็สามารถทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้ในชีวิตประจำวันของเราเท่านั้นเอง
อีกไม่นาน ผมจะพยายามคลอดสติ๊กเกอร์ชุดที่ 2 ออกมาให้ได้ครับ
ต้องให้จบภายในไม่เกินเดือนหน้า
และหลังจากนั้นก็รอ Review
ระหว่างนี้
ลองเข้าไปชมกันนะครับ ว่า sticker ของผมถูกใจทุกคนหรือเปล่า
ตามลิงค์นี้เลยครับ
http://line.me/S/sticker/1133078
ถ้าชอบไม่ชอบอย่างไร ถูกใจมากน้อยแค่ไหน ช่วยรีวิวหรือ comment ให้ผมทราบทีนะครับ
ผมจะได้เอาไปปรับปรุงกับสติ๊กเกอร์ชุดต่อๆไปของผมครับ
ขอบคุณคร้าบบบบบ
แนะนำตัว.... สร้างเพจวาดการ์ตูน วาดภาพเหมือนครับผม
เกริ่นอันแรก ผมขอเริ่มด้วยการแนะนำตัวก่อนนะครับ
ผม byToey ครับผม
วาดการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก
หลังๆ ผมเริ่มวาดด้วยเครื่องมือหลายๆอย่าง จนตอนนี้ ใช้ Samsung Galaxy Note 4 เป็นเครื่องมือวาดรูปครับ
บอกก่อนว่า ผมไม่ได้วาดรูปเป็นอาชีพนะครับ
แต่แค่ชอบวาดการ์ตูนเฉยๆ
ผมใช้ program app "ARTFLOW" ครับ
แต่ก่อนผมก็ใช้ AutoDesk นะครับ
แต่พอมาเครื่อง Note 4 นี่แล้ว
หน้าจอ layer menu มันดันไม่เต็มจอซะได้ เหมือนเป็น bug ก็เลยเลือกใช้ ArtFlow แทน
ซึ่งพอใช้ไปใช้มา ผมกลับคิดว่า มันใช้ได้ดีกว่า AutoDesk เสียอีก
แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะความถนัดของผมเองที่เพิ่มขึ้นระหว่างใช้ก็ได้
ทั้งนี้ ArtFlow ก็ยังมีข้อด้อยอยู่นะครับ หลายๆอย่างเลย
แต่ผมชอบ menu หนึ่งของมันที่ชื่อ "Smudg" เป็นไอคอนรูปนิ้วละเลงสีครับ ก็คงมีใน Photoshop นั่นแหละครับ แต่ ArtFlow ไม่มี (หรืออาจจะมีแล้วแต่ผมไม่รู้ก็ได้ครับ)
ซึ่งตัวนี้นี่แหละที่ผมว่ามันเจ๋งมากๆเลย สำหรับการเกลี่ยสีที่ทำให้เข้ากันยากๆครับ
....
รูปที่ผมจะเอามาลงหลังจากนี้นะครับ อาจจะเป็นรูปที่ผมวาดไว้สักพักนึงแล้ว
และผมเองก็คงอธิบายวิธีการวาดทั้งหมดไม่ได้ เพราะจำขั้นตอนไม่ได้จริงๆ
เลยคิดว่า เอามาลงให้ดูกันเล่นๆ แล้วมี comment อะไรเล็กๆน้อยๆให้ผู้อ่านได้อ่านเล่นก็แล้วกันนะครับผม ^^
พบกันอีกทีพร้อมผลงานนะครับ ^^
byToey
ผม byToey ครับผม
วาดการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก
หลังๆ ผมเริ่มวาดด้วยเครื่องมือหลายๆอย่าง จนตอนนี้ ใช้ Samsung Galaxy Note 4 เป็นเครื่องมือวาดรูปครับ
บอกก่อนว่า ผมไม่ได้วาดรูปเป็นอาชีพนะครับ
แต่แค่ชอบวาดการ์ตูนเฉยๆ
ผมใช้ program app "ARTFLOW" ครับ
แต่ก่อนผมก็ใช้ AutoDesk นะครับ
แต่พอมาเครื่อง Note 4 นี่แล้ว
หน้าจอ layer menu มันดันไม่เต็มจอซะได้ เหมือนเป็น bug ก็เลยเลือกใช้ ArtFlow แทน
ซึ่งพอใช้ไปใช้มา ผมกลับคิดว่า มันใช้ได้ดีกว่า AutoDesk เสียอีก
แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะความถนัดของผมเองที่เพิ่มขึ้นระหว่างใช้ก็ได้
ทั้งนี้ ArtFlow ก็ยังมีข้อด้อยอยู่นะครับ หลายๆอย่างเลย
แต่ผมชอบ menu หนึ่งของมันที่ชื่อ "Smudg" เป็นไอคอนรูปนิ้วละเลงสีครับ ก็คงมีใน Photoshop นั่นแหละครับ แต่ ArtFlow ไม่มี (หรืออาจจะมีแล้วแต่ผมไม่รู้ก็ได้ครับ)
ซึ่งตัวนี้นี่แหละที่ผมว่ามันเจ๋งมากๆเลย สำหรับการเกลี่ยสีที่ทำให้เข้ากันยากๆครับ
....
รูปที่ผมจะเอามาลงหลังจากนี้นะครับ อาจจะเป็นรูปที่ผมวาดไว้สักพักนึงแล้ว
และผมเองก็คงอธิบายวิธีการวาดทั้งหมดไม่ได้ เพราะจำขั้นตอนไม่ได้จริงๆ
เลยคิดว่า เอามาลงให้ดูกันเล่นๆ แล้วมี comment อะไรเล็กๆน้อยๆให้ผู้อ่านได้อ่านเล่นก็แล้วกันนะครับผม ^^
พบกันอีกทีพร้อมผลงานนะครับ ^^
byToey
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
"พี่ครับ....ผมอยากรวย.... ทำไงครับ?"
คำตอบแรกเลยคือ
"กรูไม่ใช่กูรูทางการเงิน" ไปหาเอาข้างหน้าไปไป๊
หลังจากหยอกกันพอประมาณแล้ว
ผมก็มักจะถามกลับด้วยคำถามยอดฮิตคิดสวนแบบโค้ชหนุ่ม Money Coach เลยครับ
"รวยไปทำไม"
"รวยคืออะไร"
"รวยคือมีเงินเท่าไหร่"
คำถามพวกนี้
คนส่วนมาก ไม่ได้ตอบกันจริงๆครับ
หรือตอบก็ตอบไปส่งๆ
ส่วนใหญ่ พนง.บริษัท (อย่างผม)
ก็มักจะเจอเด็กๆจบใหม่บ้าง ทำงานสักพักบ้าง ตั้งคำถามแบบยอดฮิต
ประมาณว่า
"พี่คะ ถ้าหนูอยากจะเกษียณออกไปอยู่เฉยๆ ต้องทำไงได้มั่งคะ"
คำถามพวกนี้ ตอนแรกๆก็คุยกันดีสนุกสนานอยู่หรอกครับ
แต่พอสักพัก มันเริ่มกลายเป็นคำถามไม่สร้างสรรค์ไปซะฉิบ
เหตุผลเพราะว่า ไอ้คำว่า "รวย" ของคนส่วนใหญ่ คือมีเงินเยอะ
เยอะมากๆ
ในที่นี้คือเยอะมากๆจริงๆ
ส่วนคำว่า "เกษียณ" คือ การได้ออกไปนั่งๆนอนๆอยู่ริมชายหาดหรือรีสอร์ตติดทะเลภูเขาทั้งปีทั้งชาติโดยไม่ต้องทำห่ะอะไรเลย
เอ่อ.... พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าผม hardcore ตามโค้ชหนุ่ม
แต่จะว่าไป ผมก็วิศวะเหมือนกัน แถมเรื่องปากสมานนี่ ไม่เป็นรองใครในบริษัทอีก
(ขนาดบริษัทมี 6 พันกว่าคนนะ ถ้าบอกว่าใครปากหมาสุดนี่ แม่มชี้มาที่ผมกันเกินครึ่ง)
ผมมักจะตอบคำถามพวกนี้ไปแบบสร้างสรรค์เช่นกันครับ
"รวย" คือ "มีเงินให้ใช้ มากกว่าที่ต้องจ่าย"
จะรู้ว่ารวยได้ไง ก็ต้องรู้ว่า ต้องจ่ายเท่าไหร่ก่อนจริงมั้ย
ผมก็มักจะถามน้องๆมันกลับไปว่า "มึงทำบัญชีแล้วหรือยังครับ?"
น้องๆส่วนใหญ่ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังครับ"
"อ้าว แล้วงี้จะรู้ได้ไงว่าเดือนๆนึงต้องใช้เท่าไหร่"
"ไม่รู้ครับ"
"แล้วมีเงินเก็บกันเดือนๆละเท่าไหร่"
"ไม่แน่นอนครับ ใช้เหลือก็เก็บ ไม่เหลือก็ไม่เก็บ ส่วนมากมักไม่เหลือครับ"
"เจริญสิครับมึง"
คือ เรื่องพวกนี้ พอมันเจอบ่อยๆเข้า มันก็ออกแนวไม่เข้าใจนะครับ ว่าคนส่วนใหญ่ทำไมหลักคิดมันกลับกัน
จะรวยได้ ต้องมีเงินเก็บเยอะๆก่อน จริงมั้ยครับ
เงินเก็บจะเยอะได้ มึงก็ต้องเก็บ จริงมั้ยครับ
จะเก็บได้ มึงก็ต้องไม่ใช้จริงมั้ยครับ
ทำไมไม่เก็บก่อน เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอามาใช้ล่ะครับพี่น้อง
คือ ไอ้วิธี "ใช้ก่อน เก็บทีหลัง" เนี่ย มันใช้ได้ครับ
แต่แค่เฉพาะกันบางคนเท่านั้น
อย่างน้อยชายผมอ่ะ
ตอนนี้เงินเดือนมันน่าจะประมาณ 5-6 หมื่นบาท
มันมีเงินออมในบัญชีประมาณ 2-3 ล้าน
โดยที่มันบอกว่า "มันไม่เคยเก็บหรือออมเงินเลย"
เหตุผลเพราะว่า
มัน "สมถะ" มากครับ
สมถะ ไม่ใช่ ขี้เหนียวนะครับ
มันก็ไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปทริปต่างจังหวัด ซื้อไอโฟน กินบุฟเฟต์ ปกติ
แต่มันแค่ ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย เท่านั้น
อะไรไม่จำเป็น มันไม่ซื้อครับ แค่นั้นเอง
หน้าที่การงานดีมากๆ แต่อยู่ห้องเช่นเดือนละ 2500
ทีวีจอนูนเก่าๆ 16 นิ้ว
นอนฟูกในห้อง
ทั้งห้องมีเฟอร์แค่นี้กับโต๊ะทำงานเล็กๆ (เล็กจริงๆ) ตัวนึง กับตู้เสื้อผ้าอีกอัน
นอกนั้นก็รองเท้าอีก 3-4 คู่ เท่าที่ผมเห็นห้องมันมา
มันบอกว่าเดี๋ยวเรียนโทจบจะซื้อ ps4 มาเล่น นั่น ดูมัน ข่มกูอีก
ก่อนหน้า มันก็ซื้อคอนโดฯพร้อมเฟอร์ไป 1.7 ล้าน
ดาวน์ 20% สามแสนกว่าๆ พี่วางเงินสด
รถคันแรก ออกเงินสด นิสสันมาร์ช บอกไม่ต้องใช้รถใหญ่ ขับไปก็เปลืองน้ำมัน
ถ้ามีใครสักคนที่จะสมถะได้เท่าน้องของผม ก็คงเป็นพ่อของผมเองล่ะครับ พอกันคู่นั้น
ผมนี่ ฟุ้งเฟ้อหน่อย (จริงๆก็ไม่หน่อยหรอก ตอนหนุ่มๆนี่ก็เที่ยว กิน ดื่ม ปลื้มโคโยตี้กันจนจ่ายเงินกันสนุกสนาน) แผนการเงินหรือแผนเงินออมไม่ต้องพูดถึง โจทย์เดียวคือ รอให้ได้ตำแหน่งสูงๆก่อนค่อยมาเก็บกัน
ถ้าใครเป็นแบบน้องชายผม ใช้ก่อน ค่อยเก็บ มันก็เหลือครับ
แต่ถ้าใครไม่ใช่ (ส่วนใหญ่นั่นแหละ) ก็ต้องเก็บก่อนค่อยใช้ครับ
อย่าผมเองอ่ะ ตอนนี้ ภาระก็เยอะหน่อย ทั้งบ้านทั้งรถ
ผ่อนเดือนๆก็ 3 หมื่นกว่าบาท เงินเดือนแทบหมด
ถ้าไม่ออมก่อน พอใกล้ๆสิ้นเดือน อารมณ์มันคือ อยาก "ให้รางวัลตัวเองที่เหนื่อยมาทั้งเดือน"
ก็จัดเต็มสิครับ
กินบุฟเฟ่ต์เอย ซื้อของเอย ไปนั่นนี่เอย
สุดท้าย เงินเดือนใหม่มา ก็เข้า loop เดิมอีก
พอมาลองเก็บก่อน
สัก 10-20% ของเงินเดือนก็ว่ากันไป
เหลือเท่าไหร่ ใช้ไปครับ ใช้ให้หมด
พอมาสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ผมวางแผนเลย
จะใช้วันละเท่าไหร่ สมมติ วันละ 300 บาท 5 วัน 1500
ค่าแก๊ส 600 ตีไป
จ่ายค่ามือถือ 800 กว่าบาท รวมๆแล้วเป็นประมาณ 3000
ถ้าในบัญชีเหลือ 8000 ผมโอน 5000 ไปไว้อีกบัญชีเลยครับ
เก็บไว้ต่างหากไม่ยุ่งเลย เอาเป็นเงินเก็บไปซะ
วางแผน ก้อนนั้น ต้องมีประมาณ 5 เท่าของเงินเดือนก่อน ค่อยวางแผนต่อไป
คำนวณคร่าวๆ ต้องใช้เวลาถึง 35 เดือน เกือบ 3 ปี (แม่มนานจังวะ)
ก็ต้องมาวางแผนกันเพิ่มอีก
จะปรับเปลี่ยนแผนยังไง
ไหนจะต้องโปะบ้านอีก ดอกเบี้ยเงินกู้มันก็วิ่งทุกวัน สนุกสนาน เห็นตัวเลขดอกเบี้ยในใบแจ้งหนี้แต่ละเดือนแทบลมจับ
(นี่ตูต้องจ่ายดอกเบี้ยหมื่นกว่าบาท ส่วนเงินต้นมีแค่ 2 พันเนี่ยนะ
น้ำตาแทบเล็ด)
เอาเป็นว่า
ถ้าใครอยากรวยนะครับ
"เก็บเงินเก่งแค่ไหน"
สำคัญกว่า
"หาเงินเก่งแค่ไหน"
เก็บเงินได้ 10% ยิ่งนานวัน รายได้ยิ่งเพิ่ม สัดส่วนก็จะยิ่งเพิ่มครับ
ผ่านไปสักพัก กลายเป็น 12% 15% 20% ....
ส่วนเรื่อง "หาเงิน"
ศึกษาหาความรู้ไปครับ
ไม่นาน ถ้าความรู้มากพอ ไม่ต้องรออะไรเยอะ
เริ่มทำเลย
ทำจากเล็กๆ เก็บกำไรทีละนิด ค่อยๆขยาย หาทางไปต่อ
ถ้ามัน work ทีเดียวมันจบครับ
ถ้ามันไม่ work ก็แค่หาใหม่
เหมือนหาเมียน่ะครับ
ถ้าเอามาควงเล่นๆ แค่แบบ พอกล้อมแกล้ม ก็เหมือนทำธุรกิจแบบขอไปที เอากำไรมากินหนม
ไม่ต้องสนว่าจะยั่งยืนแค่ไหน
แต่ถ้าจะเอาแบบ เปรี้ยง ทีเดียวเปลี่ยนชีวิต เหมือนหา ภรรยา สักคน
มันต้องคิดกันเยอะครับ
ค่อยๆวางแผน ประเมินค่าใช้จ่าย ต้นทุน ความเสี่ยง การตลาด การผลิต ลูกค้า ฯลฯ
ทุกสิ่งอย่างมันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณ "เริ่ม" จริงๆเท่านั้นแหละ
คิดเล่นๆ ไม่เห็นหรอกครับ
สถิติยอดฮิตยังไม่เปลี่ยน
คนเราจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ มักเป็นธุรกิจตัวที่ 3
แปลเป็นไทยว่า ต้องเจ๊งก่อนสัก 1-2 รอบ
มากกว่า 3 ก็อาจจะมีครับ
บางคนอาจ 4 5 6 .... เท่าไหร่ก็ว่ากันไป
แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิก พอเจอตัวที่มันสำเร็จ
แค่ตัวเดียวครับ
พอเลย จบ
มันสร้างรายได้กำไรให้คุณจนไม่มีเวลาพักหรือไปทำอย่างอื่นแน่นอน
เหมือนเมียอ่ะ
พอมีแล้ว มันจบครับ (ชีวิตมึงนะครับ)
ไม่ต้องไปหาใหม่ ทำงานถวายหัวครับ เพื่อเมียที่เคารพอย่างเดียว ไม่ต้องไปมองกิ๊กมองกั๊กอะไรอีก
ดูป๋าเทพ โพธิ์งามเป็นตัวอย่างครับ
เจ๊งไปกี่ทีๆ แกไม่เคยเข็ด เริ่มใหม่ตลอด
จนเดี๋ยวนี้ หลายๆคนก็มองว่า แกเป็นคนแก่กะโหลกกะลาไปแล้ว
แต่ผมเชื่อว่า แกก็เป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ
อย่าประสบความสำเร็จ ก็ต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และอีกครั้งไปเรื่อยๆ
ผิดกับเด็กหลายๆคนในสมัยนี้
ที่รับประทานแต่สื่อโฆษณาประมาณว่า รวยเร็วเหมือนแดกด่วน
ทำวันนี้ พรุ่งนี้รวย
อย่างเดียวที่เป็นไปได้คือ ถูกหวยเท่านั้นแหละครับ
ทุกๆอย่างใช้เวลาเสมอ
เพราะงั้น เราลงมือทำแล้วหรือยัง
นั่นต่างหาก
คำถามสำคัญ
"กรูไม่ใช่กูรูทางการเงิน" ไปหาเอาข้างหน้าไปไป๊
หลังจากหยอกกันพอประมาณแล้ว
ผมก็มักจะถามกลับด้วยคำถามยอดฮิตคิดสวนแบบโค้ชหนุ่ม Money Coach เลยครับ
"รวยไปทำไม"
"รวยคืออะไร"
"รวยคือมีเงินเท่าไหร่"
คำถามพวกนี้
คนส่วนมาก ไม่ได้ตอบกันจริงๆครับ
หรือตอบก็ตอบไปส่งๆ
ส่วนใหญ่ พนง.บริษัท (อย่างผม)
ก็มักจะเจอเด็กๆจบใหม่บ้าง ทำงานสักพักบ้าง ตั้งคำถามแบบยอดฮิต
ประมาณว่า
"พี่คะ ถ้าหนูอยากจะเกษียณออกไปอยู่เฉยๆ ต้องทำไงได้มั่งคะ"
คำถามพวกนี้ ตอนแรกๆก็คุยกันดีสนุกสนานอยู่หรอกครับ
แต่พอสักพัก มันเริ่มกลายเป็นคำถามไม่สร้างสรรค์ไปซะฉิบ
เหตุผลเพราะว่า ไอ้คำว่า "รวย" ของคนส่วนใหญ่ คือมีเงินเยอะ
เยอะมากๆ
ในที่นี้คือเยอะมากๆจริงๆ
ส่วนคำว่า "เกษียณ" คือ การได้ออกไปนั่งๆนอนๆอยู่ริมชายหาดหรือรีสอร์ตติดทะเลภูเขาทั้งปีทั้งชาติโดยไม่ต้องทำห่ะอะไรเลย
เอ่อ.... พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าผม hardcore ตามโค้ชหนุ่ม
แต่จะว่าไป ผมก็วิศวะเหมือนกัน แถมเรื่องปากสมานนี่ ไม่เป็นรองใครในบริษัทอีก
(ขนาดบริษัทมี 6 พันกว่าคนนะ ถ้าบอกว่าใครปากหมาสุดนี่ แม่มชี้มาที่ผมกันเกินครึ่ง)
ผมมักจะตอบคำถามพวกนี้ไปแบบสร้างสรรค์เช่นกันครับ
"รวย" คือ "มีเงินให้ใช้ มากกว่าที่ต้องจ่าย"
จะรู้ว่ารวยได้ไง ก็ต้องรู้ว่า ต้องจ่ายเท่าไหร่ก่อนจริงมั้ย
ผมก็มักจะถามน้องๆมันกลับไปว่า "มึงทำบัญชีแล้วหรือยังครับ?"
น้องๆส่วนใหญ่ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังครับ"
"อ้าว แล้วงี้จะรู้ได้ไงว่าเดือนๆนึงต้องใช้เท่าไหร่"
"ไม่รู้ครับ"
"แล้วมีเงินเก็บกันเดือนๆละเท่าไหร่"
"ไม่แน่นอนครับ ใช้เหลือก็เก็บ ไม่เหลือก็ไม่เก็บ ส่วนมากมักไม่เหลือครับ"
"เจริญสิครับมึง"
คือ เรื่องพวกนี้ พอมันเจอบ่อยๆเข้า มันก็ออกแนวไม่เข้าใจนะครับ ว่าคนส่วนใหญ่ทำไมหลักคิดมันกลับกัน
จะรวยได้ ต้องมีเงินเก็บเยอะๆก่อน จริงมั้ยครับ
เงินเก็บจะเยอะได้ มึงก็ต้องเก็บ จริงมั้ยครับ
จะเก็บได้ มึงก็ต้องไม่ใช้จริงมั้ยครับ
ทำไมไม่เก็บก่อน เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอามาใช้ล่ะครับพี่น้อง
คือ ไอ้วิธี "ใช้ก่อน เก็บทีหลัง" เนี่ย มันใช้ได้ครับ
แต่แค่เฉพาะกันบางคนเท่านั้น
อย่างน้อยชายผมอ่ะ
ตอนนี้เงินเดือนมันน่าจะประมาณ 5-6 หมื่นบาท
มันมีเงินออมในบัญชีประมาณ 2-3 ล้าน
โดยที่มันบอกว่า "มันไม่เคยเก็บหรือออมเงินเลย"
เหตุผลเพราะว่า
มัน "สมถะ" มากครับ
สมถะ ไม่ใช่ ขี้เหนียวนะครับ
มันก็ไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปทริปต่างจังหวัด ซื้อไอโฟน กินบุฟเฟต์ ปกติ
แต่มันแค่ ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย เท่านั้น
อะไรไม่จำเป็น มันไม่ซื้อครับ แค่นั้นเอง
หน้าที่การงานดีมากๆ แต่อยู่ห้องเช่นเดือนละ 2500
ทีวีจอนูนเก่าๆ 16 นิ้ว
นอนฟูกในห้อง
ทั้งห้องมีเฟอร์แค่นี้กับโต๊ะทำงานเล็กๆ (เล็กจริงๆ) ตัวนึง กับตู้เสื้อผ้าอีกอัน
นอกนั้นก็รองเท้าอีก 3-4 คู่ เท่าที่ผมเห็นห้องมันมา
มันบอกว่าเดี๋ยวเรียนโทจบจะซื้อ ps4 มาเล่น นั่น ดูมัน ข่มกูอีก
ก่อนหน้า มันก็ซื้อคอนโดฯพร้อมเฟอร์ไป 1.7 ล้าน
ดาวน์ 20% สามแสนกว่าๆ พี่วางเงินสด
รถคันแรก ออกเงินสด นิสสันมาร์ช บอกไม่ต้องใช้รถใหญ่ ขับไปก็เปลืองน้ำมัน
ถ้ามีใครสักคนที่จะสมถะได้เท่าน้องของผม ก็คงเป็นพ่อของผมเองล่ะครับ พอกันคู่นั้น
ผมนี่ ฟุ้งเฟ้อหน่อย (จริงๆก็ไม่หน่อยหรอก ตอนหนุ่มๆนี่ก็เที่ยว กิน ดื่ม ปลื้มโคโยตี้กันจนจ่ายเงินกันสนุกสนาน) แผนการเงินหรือแผนเงินออมไม่ต้องพูดถึง โจทย์เดียวคือ รอให้ได้ตำแหน่งสูงๆก่อนค่อยมาเก็บกัน
ถ้าใครเป็นแบบน้องชายผม ใช้ก่อน ค่อยเก็บ มันก็เหลือครับ
แต่ถ้าใครไม่ใช่ (ส่วนใหญ่นั่นแหละ) ก็ต้องเก็บก่อนค่อยใช้ครับ
อย่าผมเองอ่ะ ตอนนี้ ภาระก็เยอะหน่อย ทั้งบ้านทั้งรถ
ผ่อนเดือนๆก็ 3 หมื่นกว่าบาท เงินเดือนแทบหมด
ถ้าไม่ออมก่อน พอใกล้ๆสิ้นเดือน อารมณ์มันคือ อยาก "ให้รางวัลตัวเองที่เหนื่อยมาทั้งเดือน"
ก็จัดเต็มสิครับ
กินบุฟเฟ่ต์เอย ซื้อของเอย ไปนั่นนี่เอย
สุดท้าย เงินเดือนใหม่มา ก็เข้า loop เดิมอีก
พอมาลองเก็บก่อน
สัก 10-20% ของเงินเดือนก็ว่ากันไป
เหลือเท่าไหร่ ใช้ไปครับ ใช้ให้หมด
พอมาสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ผมวางแผนเลย
จะใช้วันละเท่าไหร่ สมมติ วันละ 300 บาท 5 วัน 1500
ค่าแก๊ส 600 ตีไป
จ่ายค่ามือถือ 800 กว่าบาท รวมๆแล้วเป็นประมาณ 3000
ถ้าในบัญชีเหลือ 8000 ผมโอน 5000 ไปไว้อีกบัญชีเลยครับ
เก็บไว้ต่างหากไม่ยุ่งเลย เอาเป็นเงินเก็บไปซะ
วางแผน ก้อนนั้น ต้องมีประมาณ 5 เท่าของเงินเดือนก่อน ค่อยวางแผนต่อไป
คำนวณคร่าวๆ ต้องใช้เวลาถึง 35 เดือน เกือบ 3 ปี (แม่มนานจังวะ)
ก็ต้องมาวางแผนกันเพิ่มอีก
จะปรับเปลี่ยนแผนยังไง
ไหนจะต้องโปะบ้านอีก ดอกเบี้ยเงินกู้มันก็วิ่งทุกวัน สนุกสนาน เห็นตัวเลขดอกเบี้ยในใบแจ้งหนี้แต่ละเดือนแทบลมจับ
(นี่ตูต้องจ่ายดอกเบี้ยหมื่นกว่าบาท ส่วนเงินต้นมีแค่ 2 พันเนี่ยนะ
น้ำตาแทบเล็ด)
เอาเป็นว่า
ถ้าใครอยากรวยนะครับ
"เก็บเงินเก่งแค่ไหน"
สำคัญกว่า
"หาเงินเก่งแค่ไหน"
เก็บเงินได้ 10% ยิ่งนานวัน รายได้ยิ่งเพิ่ม สัดส่วนก็จะยิ่งเพิ่มครับ
ผ่านไปสักพัก กลายเป็น 12% 15% 20% ....
ส่วนเรื่อง "หาเงิน"
ศึกษาหาความรู้ไปครับ
ไม่นาน ถ้าความรู้มากพอ ไม่ต้องรออะไรเยอะ
เริ่มทำเลย
ทำจากเล็กๆ เก็บกำไรทีละนิด ค่อยๆขยาย หาทางไปต่อ
ถ้ามัน work ทีเดียวมันจบครับ
ถ้ามันไม่ work ก็แค่หาใหม่
เหมือนหาเมียน่ะครับ
ถ้าเอามาควงเล่นๆ แค่แบบ พอกล้อมแกล้ม ก็เหมือนทำธุรกิจแบบขอไปที เอากำไรมากินหนม
ไม่ต้องสนว่าจะยั่งยืนแค่ไหน
แต่ถ้าจะเอาแบบ เปรี้ยง ทีเดียวเปลี่ยนชีวิต เหมือนหา ภรรยา สักคน
มันต้องคิดกันเยอะครับ
ค่อยๆวางแผน ประเมินค่าใช้จ่าย ต้นทุน ความเสี่ยง การตลาด การผลิต ลูกค้า ฯลฯ
ทุกสิ่งอย่างมันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณ "เริ่ม" จริงๆเท่านั้นแหละ
คิดเล่นๆ ไม่เห็นหรอกครับ
สถิติยอดฮิตยังไม่เปลี่ยน
คนเราจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ มักเป็นธุรกิจตัวที่ 3
แปลเป็นไทยว่า ต้องเจ๊งก่อนสัก 1-2 รอบ
มากกว่า 3 ก็อาจจะมีครับ
บางคนอาจ 4 5 6 .... เท่าไหร่ก็ว่ากันไป
แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิก พอเจอตัวที่มันสำเร็จ
แค่ตัวเดียวครับ
พอเลย จบ
มันสร้างรายได้กำไรให้คุณจนไม่มีเวลาพักหรือไปทำอย่างอื่นแน่นอน
เหมือนเมียอ่ะ
พอมีแล้ว มันจบครับ (ชีวิตมึงนะครับ)
ไม่ต้องไปหาใหม่ ทำงานถวายหัวครับ เพื่อเมียที่เคารพอย่างเดียว ไม่ต้องไปมองกิ๊กมองกั๊กอะไรอีก
ดูป๋าเทพ โพธิ์งามเป็นตัวอย่างครับ
เจ๊งไปกี่ทีๆ แกไม่เคยเข็ด เริ่มใหม่ตลอด
จนเดี๋ยวนี้ หลายๆคนก็มองว่า แกเป็นคนแก่กะโหลกกะลาไปแล้ว
แต่ผมเชื่อว่า แกก็เป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ
อย่าประสบความสำเร็จ ก็ต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และอีกครั้งไปเรื่อยๆ
ผิดกับเด็กหลายๆคนในสมัยนี้
ที่รับประทานแต่สื่อโฆษณาประมาณว่า รวยเร็วเหมือนแดกด่วน
ทำวันนี้ พรุ่งนี้รวย
อย่างเดียวที่เป็นไปได้คือ ถูกหวยเท่านั้นแหละครับ
ทุกๆอย่างใช้เวลาเสมอ
เพราะงั้น เราลงมือทำแล้วหรือยัง
นั่นต่างหาก
คำถามสำคัญ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)