คำตอบแรกเลยคือ
"กรูไม่ใช่กูรูทางการเงิน" ไปหาเอาข้างหน้าไปไป๊
หลังจากหยอกกันพอประมาณแล้ว
ผมก็มักจะถามกลับด้วยคำถามยอดฮิตคิดสวนแบบโค้ชหนุ่ม Money Coach เลยครับ
"รวยไปทำไม"
"รวยคืออะไร"
"รวยคือมีเงินเท่าไหร่"
คำถามพวกนี้
คนส่วนมาก ไม่ได้ตอบกันจริงๆครับ
หรือตอบก็ตอบไปส่งๆ
ส่วนใหญ่ พนง.บริษัท (อย่างผม)
ก็มักจะเจอเด็กๆจบใหม่บ้าง ทำงานสักพักบ้าง ตั้งคำถามแบบยอดฮิต
ประมาณว่า
"พี่คะ ถ้าหนูอยากจะเกษียณออกไปอยู่เฉยๆ ต้องทำไงได้มั่งคะ"
คำถามพวกนี้ ตอนแรกๆก็คุยกันดีสนุกสนานอยู่หรอกครับ
แต่พอสักพัก มันเริ่มกลายเป็นคำถามไม่สร้างสรรค์ไปซะฉิบ
เหตุผลเพราะว่า ไอ้คำว่า "รวย" ของคนส่วนใหญ่ คือมีเงินเยอะ
เยอะมากๆ
ในที่นี้คือเยอะมากๆจริงๆ
ส่วนคำว่า "เกษียณ" คือ การได้ออกไปนั่งๆนอนๆอยู่ริมชายหาดหรือรีสอร์ตติดทะเลภูเขาทั้งปีทั้งชาติโดยไม่ต้องทำห่ะอะไรเลย
เอ่อ.... พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าผม hardcore ตามโค้ชหนุ่ม
แต่จะว่าไป ผมก็วิศวะเหมือนกัน แถมเรื่องปากสมานนี่ ไม่เป็นรองใครในบริษัทอีก
(ขนาดบริษัทมี 6 พันกว่าคนนะ ถ้าบอกว่าใครปากหมาสุดนี่ แม่มชี้มาที่ผมกันเกินครึ่ง)
ผมมักจะตอบคำถามพวกนี้ไปแบบสร้างสรรค์เช่นกันครับ
"รวย" คือ "มีเงินให้ใช้ มากกว่าที่ต้องจ่าย"
จะรู้ว่ารวยได้ไง ก็ต้องรู้ว่า ต้องจ่ายเท่าไหร่ก่อนจริงมั้ย
ผมก็มักจะถามน้องๆมันกลับไปว่า "มึงทำบัญชีแล้วหรือยังครับ?"
น้องๆส่วนใหญ่ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังครับ"
"อ้าว แล้วงี้จะรู้ได้ไงว่าเดือนๆนึงต้องใช้เท่าไหร่"
"ไม่รู้ครับ"
"แล้วมีเงินเก็บกันเดือนๆละเท่าไหร่"
"ไม่แน่นอนครับ ใช้เหลือก็เก็บ ไม่เหลือก็ไม่เก็บ ส่วนมากมักไม่เหลือครับ"
"เจริญสิครับมึง"
คือ เรื่องพวกนี้ พอมันเจอบ่อยๆเข้า มันก็ออกแนวไม่เข้าใจนะครับ ว่าคนส่วนใหญ่ทำไมหลักคิดมันกลับกัน
จะรวยได้ ต้องมีเงินเก็บเยอะๆก่อน จริงมั้ยครับ
เงินเก็บจะเยอะได้ มึงก็ต้องเก็บ จริงมั้ยครับ
จะเก็บได้ มึงก็ต้องไม่ใช้จริงมั้ยครับ
ทำไมไม่เก็บก่อน เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอามาใช้ล่ะครับพี่น้อง
คือ ไอ้วิธี "ใช้ก่อน เก็บทีหลัง" เนี่ย มันใช้ได้ครับ
แต่แค่เฉพาะกันบางคนเท่านั้น
อย่างน้อยชายผมอ่ะ
ตอนนี้เงินเดือนมันน่าจะประมาณ 5-6 หมื่นบาท
มันมีเงินออมในบัญชีประมาณ 2-3 ล้าน
โดยที่มันบอกว่า "มันไม่เคยเก็บหรือออมเงินเลย"
เหตุผลเพราะว่า
มัน "สมถะ" มากครับ
สมถะ ไม่ใช่ ขี้เหนียวนะครับ
มันก็ไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปทริปต่างจังหวัด ซื้อไอโฟน กินบุฟเฟต์ ปกติ
แต่มันแค่ ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย เท่านั้น
อะไรไม่จำเป็น มันไม่ซื้อครับ แค่นั้นเอง
หน้าที่การงานดีมากๆ แต่อยู่ห้องเช่นเดือนละ 2500
ทีวีจอนูนเก่าๆ 16 นิ้ว
นอนฟูกในห้อง
ทั้งห้องมีเฟอร์แค่นี้กับโต๊ะทำงานเล็กๆ (เล็กจริงๆ) ตัวนึง กับตู้เสื้อผ้าอีกอัน
นอกนั้นก็รองเท้าอีก 3-4 คู่ เท่าที่ผมเห็นห้องมันมา
มันบอกว่าเดี๋ยวเรียนโทจบจะซื้อ ps4 มาเล่น นั่น ดูมัน ข่มกูอีก
ก่อนหน้า มันก็ซื้อคอนโดฯพร้อมเฟอร์ไป 1.7 ล้าน
ดาวน์ 20% สามแสนกว่าๆ พี่วางเงินสด
รถคันแรก ออกเงินสด นิสสันมาร์ช บอกไม่ต้องใช้รถใหญ่ ขับไปก็เปลืองน้ำมัน
ถ้ามีใครสักคนที่จะสมถะได้เท่าน้องของผม ก็คงเป็นพ่อของผมเองล่ะครับ พอกันคู่นั้น
ผมนี่ ฟุ้งเฟ้อหน่อย (จริงๆก็ไม่หน่อยหรอก ตอนหนุ่มๆนี่ก็เที่ยว กิน ดื่ม ปลื้มโคโยตี้กันจนจ่ายเงินกันสนุกสนาน) แผนการเงินหรือแผนเงินออมไม่ต้องพูดถึง โจทย์เดียวคือ รอให้ได้ตำแหน่งสูงๆก่อนค่อยมาเก็บกัน
ถ้าใครเป็นแบบน้องชายผม ใช้ก่อน ค่อยเก็บ มันก็เหลือครับ
แต่ถ้าใครไม่ใช่ (ส่วนใหญ่นั่นแหละ) ก็ต้องเก็บก่อนค่อยใช้ครับ
อย่าผมเองอ่ะ ตอนนี้ ภาระก็เยอะหน่อย ทั้งบ้านทั้งรถ
ผ่อนเดือนๆก็ 3 หมื่นกว่าบาท เงินเดือนแทบหมด
ถ้าไม่ออมก่อน พอใกล้ๆสิ้นเดือน อารมณ์มันคือ อยาก "ให้รางวัลตัวเองที่เหนื่อยมาทั้งเดือน"
ก็จัดเต็มสิครับ
กินบุฟเฟ่ต์เอย ซื้อของเอย ไปนั่นนี่เอย
สุดท้าย เงินเดือนใหม่มา ก็เข้า loop เดิมอีก
พอมาลองเก็บก่อน
สัก 10-20% ของเงินเดือนก็ว่ากันไป
เหลือเท่าไหร่ ใช้ไปครับ ใช้ให้หมด
พอมาสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ผมวางแผนเลย
จะใช้วันละเท่าไหร่ สมมติ วันละ 300 บาท 5 วัน 1500
ค่าแก๊ส 600 ตีไป
จ่ายค่ามือถือ 800 กว่าบาท รวมๆแล้วเป็นประมาณ 3000
ถ้าในบัญชีเหลือ 8000 ผมโอน 5000 ไปไว้อีกบัญชีเลยครับ
เก็บไว้ต่างหากไม่ยุ่งเลย เอาเป็นเงินเก็บไปซะ
วางแผน ก้อนนั้น ต้องมีประมาณ 5 เท่าของเงินเดือนก่อน ค่อยวางแผนต่อไป
คำนวณคร่าวๆ ต้องใช้เวลาถึง 35 เดือน เกือบ 3 ปี (แม่มนานจังวะ)
ก็ต้องมาวางแผนกันเพิ่มอีก
จะปรับเปลี่ยนแผนยังไง
ไหนจะต้องโปะบ้านอีก ดอกเบี้ยเงินกู้มันก็วิ่งทุกวัน สนุกสนาน เห็นตัวเลขดอกเบี้ยในใบแจ้งหนี้แต่ละเดือนแทบลมจับ
(นี่ตูต้องจ่ายดอกเบี้ยหมื่นกว่าบาท ส่วนเงินต้นมีแค่ 2 พันเนี่ยนะ
น้ำตาแทบเล็ด)
เอาเป็นว่า
ถ้าใครอยากรวยนะครับ
"เก็บเงินเก่งแค่ไหน"
สำคัญกว่า
"หาเงินเก่งแค่ไหน"
เก็บเงินได้ 10% ยิ่งนานวัน รายได้ยิ่งเพิ่ม สัดส่วนก็จะยิ่งเพิ่มครับ
ผ่านไปสักพัก กลายเป็น 12% 15% 20% ....
ส่วนเรื่อง "หาเงิน"
ศึกษาหาความรู้ไปครับ
ไม่นาน ถ้าความรู้มากพอ ไม่ต้องรออะไรเยอะ
เริ่มทำเลย
ทำจากเล็กๆ เก็บกำไรทีละนิด ค่อยๆขยาย หาทางไปต่อ
ถ้ามัน work ทีเดียวมันจบครับ
ถ้ามันไม่ work ก็แค่หาใหม่
เหมือนหาเมียน่ะครับ
ถ้าเอามาควงเล่นๆ แค่แบบ พอกล้อมแกล้ม ก็เหมือนทำธุรกิจแบบขอไปที เอากำไรมากินหนม
ไม่ต้องสนว่าจะยั่งยืนแค่ไหน
แต่ถ้าจะเอาแบบ เปรี้ยง ทีเดียวเปลี่ยนชีวิต เหมือนหา ภรรยา สักคน
มันต้องคิดกันเยอะครับ
ค่อยๆวางแผน ประเมินค่าใช้จ่าย ต้นทุน ความเสี่ยง การตลาด การผลิต ลูกค้า ฯลฯ
ทุกสิ่งอย่างมันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณ "เริ่ม" จริงๆเท่านั้นแหละ
คิดเล่นๆ ไม่เห็นหรอกครับ
สถิติยอดฮิตยังไม่เปลี่ยน
คนเราจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ มักเป็นธุรกิจตัวที่ 3
แปลเป็นไทยว่า ต้องเจ๊งก่อนสัก 1-2 รอบ
มากกว่า 3 ก็อาจจะมีครับ
บางคนอาจ 4 5 6 .... เท่าไหร่ก็ว่ากันไป
แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิก พอเจอตัวที่มันสำเร็จ
แค่ตัวเดียวครับ
พอเลย จบ
มันสร้างรายได้กำไรให้คุณจนไม่มีเวลาพักหรือไปทำอย่างอื่นแน่นอน
เหมือนเมียอ่ะ
พอมีแล้ว มันจบครับ (ชีวิตมึงนะครับ)
ไม่ต้องไปหาใหม่ ทำงานถวายหัวครับ เพื่อเมียที่เคารพอย่างเดียว ไม่ต้องไปมองกิ๊กมองกั๊กอะไรอีก
ดูป๋าเทพ โพธิ์งามเป็นตัวอย่างครับ
เจ๊งไปกี่ทีๆ แกไม่เคยเข็ด เริ่มใหม่ตลอด
จนเดี๋ยวนี้ หลายๆคนก็มองว่า แกเป็นคนแก่กะโหลกกะลาไปแล้ว
แต่ผมเชื่อว่า แกก็เป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ
อย่าประสบความสำเร็จ ก็ต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และอีกครั้งไปเรื่อยๆ
ผิดกับเด็กหลายๆคนในสมัยนี้
ที่รับประทานแต่สื่อโฆษณาประมาณว่า รวยเร็วเหมือนแดกด่วน
ทำวันนี้ พรุ่งนี้รวย
อย่างเดียวที่เป็นไปได้คือ ถูกหวยเท่านั้นแหละครับ
ทุกๆอย่างใช้เวลาเสมอ
เพราะงั้น เราลงมือทำแล้วหรือยัง
นั่นต่างหาก
คำถามสำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น