วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตลก comment ที่ด่า HR ครับ 555

มีโอกาสได้อ่านกระทู้ "เด็กจบใหม่จ๋า ฟัง HR หน่อย..."

ซึ่งเนื้อหาในนี้เป็นความคิดเห็นจากเจ้าของกระทู้ที่ทำงานเป็น HR ได้ประมาณ 5 ปี เจ้าตัวเองยอมรับว่าไม่ได้มีประสบการณ์มากมายเหมือนคนที่อาวุโสกว่า รวมถึงยอมรับว่าตัวเองก็เป็นเด็กรุ่นใหม่พอกันกับเด็กจบใหม่สมัยนี้

ในเนื้อหา จขกท.ได้พิมพ์ความคิดเห็นส่วนใหญ่ถึงเรื่องเมื่อตอนที่ตัวเองเพิ่งเรียนจบและหางานทำ ได้มาสัมภาษณ์งาน ตจว.หลายครั้ง ผิดหวังก็หลายหน จนต้องสัมภาษณ์ถึง 5 ครั้ง กว่าจะได้งาน

ผมอ่านดูก็รู้สึกได้ว่า เป็นกระทู้ที่ดีเยี่ยมกระทู้หนึ่งครับ

มีการแชร์และเสนอความคิดในมุมมองของ HR ซึ่งมีประโยชน์ต่อเด็กจบใหม่ที่ต้องการจะหางานทำแน่ๆ แม้จะไม่ได้ยกตัวอย่างเคสเว่อร์ๆหรือสุดกู่อะไรนัก

นอกจากนั้นยังมี HR ท่านอื่นมาช่วยเสริมและเพิ่มข้อคิดเห็นให้ ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์อีกมากมายทีเดียวสำหรับคนที่ตั้งใจจะหางานทำหรือฝึกตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน ซึ่งส่วนใหญ่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากแน่ๆครับ

แต่ประเด็นมันมีอยู่ว่า

ในกระทู้นี้ มีหลายความเห็นที่เป็นความเห็นของ "คนที่มาสมัครงาน" ฝากถึง HR อีกหลายความเห็นเลยทีเดียว

และหลายๆความเห็นในนั้น ได้รับการกดถูกใจให้เป็นคอมเมนต์ตัวอย่างค่อนข้างมาก

ซึ่งผมอ่านๆไปแล้วก็.... เอ่อม..... แบบว่า....

ยกตัวอย่างนะครับ

เคส 1

สตรีท่านหนึ่งได้เข้ามาโวย HR ว่า ไม่ค่อยจะชอบอ่าน Resume ให้ดีก่อนเรียกมาสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ตนเองนั้นกำลังเรียนปริญญาตรีภาคพิเศษอยู่ (คือยังเรียนไม่จบว่างั้น) แต่ HR ก็เรียกมาสัมภาษณ์ และพอ HR ได้อ่านใบสมัครหรือ Resume ก็ประมาณว่า "อ้าววว ยังไม่จบป.ตรีหรือเนี่ย??" ทำให้เกิดอาการเหวอ โดยเฉพาะคนมาสมัครงาน ซึ่งก็ทำให้ต้องเสียโอกาสในการเดินทางมาหรือเตรียมตัวเพื่อสัมภาษณ์หลายครั้ง

ความคิดเห็นของผมคือ น้องคนนี้ไม่ได้ผิดอะไรครับ ผิดหลักๆก็น่าจะเป็น HR บางที่นั่นแหละ ที่ไม่ได้อ่าน Resume ให้ดีก่อน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยครับว่า HR ส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะรับใครหรือไม่รับใครมาทำงานในท้ายที่สุด ต้องมีการปรึกษาหารือกับหัวหน้าแผนกนั้นๆด้วยว่า จะรับคนที่มาสัมภาษณ์คนนี้คนนั้นหรือเปล่า ถ้าตำแหน่งที่มาสมัคร เป็นพนักงานระดับปฏิบัติงานที่มีการสัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็เป็นอีกเรื่องครับ HR อาจจะสัมภาษณ์เองได้เลย ก็ว่าไปเป็นเคสๆ

แต่เรื่องที่น้องผู้หญิงท่านนี้จะต่อว่า HR ว่าไม่ดูให้ดีก่อนเรียก ส่วนตัวผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นการผิดอะไรนัก เพราะถ้าน้องเรียนจบแล้วจริง HR จะเรียกมาสัมภาษณ์ก็ไม่แปลก การที่ HR เลือกใบสมัครมาจากเว็บไซต์ฝากงานหรือหางาน ส่วนใหญ่ เว็บพวกนี้มันจะมีให้กรอก "วุฒิการศึกษา" ไว้อยู่แล้ว HR ก็ search เอาจากในนี้แหละครับ เพราะฉะนั้น ถ้า HR ต้องการวุฒิปริญญาตรี แล้วเรียกน้องมาสัมภาษณ์ ก็มั่นใจได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR ก็เลือกจากประวัติที่น้องกรอกไว้ในเว็บนั่นล่ะครับ

แต่ถ้าไม่ได้เป็นการหางานผ่านเว็บ อย่างเช่น น้องเป็นคนส่งเมลล์ Resume เข้ามาหา HR เองสำหรับตำแหน่งที่น้องต้องการหรือที่ HR เขาติดประกาศไว้ ก็ต้องถามหน่อยล่ะครับ ว่าในตำแหน่งนั้นๆมันระบุชัดเจนหรือเปล่าว่า HR เขาต้องการพนักงานที่จบวุฒิอะไรมา?

ถ้าในนั้นเขาเขียนชัดเจน แล้วน้องยังส่ง Resume มาอีก วันสัมภาษณ์ HR ไล่กลับก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะน้องเองนั่นแหละ ที่เป็นคนทะลึ่งส่ง Resume เข้ามาในตำแหน่งงานที่น้องมี Qualify ไม่ถึงเอง

เพราะฉะนั้น ถ้ามั่นใจว่า เราเองลงข้อมูลทุกอย่างในเว็บไซต์หางานได้ถูกต้องกับความเป็นจริงของเราแล้ว หรือเรามั่นใจว่าวุฒิที่บริษัทเขาต้องการมันตรงกับเรา ก็ไม่มีปัญหาครับ

แต่ในเคสนี้ ผมอยากจะคิดไปว่า น้องยังเรียนไม่จบ แล้วจะของานของคนที่เรียนจบแล้ว HR ไม่โอเค เขาก็ไม่รับ ก็ถูกของเขาแล้วนี่ครับ ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าน้องจะเรียนจบมาจริงๆหรือเปล่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ

เคส 2

กรณี HR จะไม่รับเข้าทำงานหรือปฏิเสธ น้องๆหลายคนบ่นว่า ไม่ค่อยมี HR โทรแจ้ง

ผมแนะนำว่าอย่างนี้ครับ

ตอนสัมภาษณ์เสร็จ ก็ถามไปเลยครับ ว่า จะรู้ผลภายในประมาณกี่วันหรือกี่สัปดาห์
ถ้า HR โทรมาก่อนนั้น จะได้เข้าใจ หรือถ้าไม่มีการติดต่อมาเลย ก็จะได้เข้าใจเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรครับ HR ย่อมต้อง deal กับ candidate จำนวนมากอยู่แล้ว เอกสารอาจจะล่าช้าไปบ้าง บางทีก็เพราะต้นสังกัดแผนกนั้นๆเอาผลสัมภาษณ์ไปดองก็มี HR ก็ลืมตาม บลาๆๆ ร้อยแปด ฯลฯ ไม่ขอแก้ตัวแทน HR เพราะมันพลาดกันได้ แนะนำว่า ส่วนใหญ่ ไม่เกิน 2 อาทิตย์หรอกครับ ถ้าเกินนั้น ปล่อยทิ้งไปได้เลย หางานใหม่จะดีกว่าครับ

เคส 3

น้องคนนึงบ่นเรื่อง อยากให้เป็นการสัมภาษณ์แบบ 2-way Communication อันนี้ผมไม่เถียงครับ
ได้สื่อสารพูดคุยกันทั้งสองฝั่งมันดีกว่าถูกถามๆๆอยู่ฝั่งเดียวอยู่แล้ว

แต่ว่า อย่างที่บอก HR ไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องหน้างานทุกอย่างของแผนกที่น้องจะเข้าทำงานนะครับ อาจจะเป็นแค่การสอบถามให้ทุกอย่างมันผ่าน "ขั้นต่ำที่รับได้" ก่อน แล้วค่อยส่งคนที่สกรีนแล้วไปให้ต้นสังกัดก็ได้ ในกรณีที่ตำแหน่งนั้นๆมีคนมาสมัครเยอะ

คือ จริงๆ HR เขาก็ดูรวมๆน่ะครับ ไม่ได้จะบอกว่าคนนั้นคนนี้ผ่านไม่ผ่าน ควรได้ไปต่อหรือไม่อะไรยังไงหรอกครับ แต่เขาต้องการจะ สกรีน คนที่มันไม่ได้เรื่องออกไปก่อนจะส่งไปให้แผนกต้นสังกัดที่ต้องการคน เพื่อจะได้ลดกระบวนการสัมภาษณ์ ให้แผนกนั้นๆได้มีการพูดคุยกับผู้มาสัมภาษณ์ได้เต็มที่

ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR แค่ต้องการจะสกรีนคนที่ "คุยไม่รู้เรื่อง" หรือ "งี่เง่า" ออกไปครับ

แน่นอน เรื่องพวกนี้ มันมีคำว่า "อคติ" มาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่มากก็น้อย HR ไม่ใช่พระอรหันต์ บางคนก็อาจจะตัดความรู้สึกด้านลบบางอย่างออกไปไม่หมดแล้วตัดสินพนักงานก่อนจะส่งไปให้ด่านต่อไปก็เป็นได้

ถามว่า HR ผิดมั้ย?

ก็ผิดครับ แต่ไม่เต็มร้อย

ต้องถามคนที่มาสมัครงานด้วย ว่า ทำตัวดีแล้วหรือยัง คุยรู้เรื่องแล้วหรือยัง

ผมสัมภาษณ์คนมาเยอะครับ ส่วนใหญ่ เจอพวกพูดจาไม่รู้เรื่องนี่ ผมคุยๆผ่านๆพอเป็นพิธีแล้วก็ให้กลับได้เลยครับ ใครที่คุยรู้เรื่อง ก็คุยกันนานหน่อย

แต่หากเจอพวกไร้มารยาท หยิบโทรศัพท์ หมุนเก้าอี้เล่น พูดจาก้าวร้าวหรือกวนประสาท ห้าวไม่เลือก มั่นใจเกินเหตุ เก๋า เกรียน โชว์เทพ หรือหน้ามึน อันนี้ก็เชิญกลับเช่นกันครับ คุยกันแค่ 5 นาทีก็รู้แล้วว่าจะได้คุยกันต่อหรือเปล่า

เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่อง 2 way communication นั้น ผมว่า มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ Candidate นั้น ผ่าน Qualification ของ HR ไปได้ก่อนแล้ว ถึงจะได้คุยครับ

ดังนั้น ยังไงเสีย HR ก็คือประตูด่านหน้าที่จะบอกว่า น้องๆควรได้ไปต่อหรือเปล่า ระดับหนึ่งครับ ประมาทไม่ได้ ต้องศึกษา หาทางปรับเปลี่ยนบุคลิกตัวเองให้กลายเป็นคนแบบที่ HR ต้องการก่อน แล้วค่อยไปยังแผนกต้นสังกัดต่อไปครับผม

เคส 4

อันนี้ฮาครับ มีตัวเก๋าคนนึงมาบอกว่า HR นั้นไม่ได้เทพขนาดที่จะคุยกะใครไม่นานแล้วจะรู้ว่าคนๆนั้นทำงานได้ดีหรือเปล่า ให้รับเข้ามาก่อน รับให้หมด แล้วให้ทดลองงาน 1 สัปดาห์ ใครไม่เวิร์ค ให้ออก

อ่านอันนี้แล้วผมทั้งขำทั้งสมเพชครับ

น้องคนนี้น่าจะมีความ Aggressive เฉพาะตัวค่อนข้างสูง ไม่รู้ว่าห้าวเฉพาะในคีย์บอร์ดหรือเปล่า แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าเป็น top comment ผมก็จะแสดงความคิดเห็นของผมไปบ้างละกันครับ

เรื่องดูคนออกหรือไม่ออกน่ะนะครับ ต่อให้มีเวลาทั้งวันหรือทั้งอาทิตย์ มันก็ดูกันไม่ออกหรอกครับ ว่าคนๆนึง ทำงานได้มั้ย และมากไปกว่านั้น ทำงานได้ดีมั้ย?

คนส่วนใหญ่ ทำงานได้หมดแหละครับ ถ้าไม่ใช่งานเฉพาะด้านหรืองานระดับบริหารสูงๆ

ต่อให้คุยกันนานกว่านั้น มันก็ไม่มีเรื่องคุยกันครับ เพราะมันแค่คนไม่กี่คนมาทำความรู้จักกันในห้องสี่เหลี่ยม (บางที่ก็ห้องไม่เหลี่ยม) ของจริงมันอยู่ที่การทดลองงาน 120 วันครับ

ซึ่ง ไอ้การที่จะให้คนที่มาสัมภาษณ์ทั้งหมด เข้ามาทำงาน แล้วทดลองงาน 1 สัปดาห์ เพื่อดูว่า ใครทำงานได้ ใครทำงานไม่ได้ คนที่ไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ

ตอบเลยครับ ว่าบริษัทไหนที่ทำแบบนั้นนี่ ปัญญาอ่อนมากครับ

เพราะต้นทุนในการ New Employ คงสูงลิบ การจะสร้างให้พนักงานใหม่สักคนนั้นทำงานได้ ต้องให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในเวลาที่มากพอครับ งานบางอย่าง ทำกันไม่กี่วัน ขณะที่งานบางอย่าง ต้องฝึกต้องสอนกันเป็นเดือน ยิ่งเรื่อง "มนุษยสัมพันธ์" "ทัศนคติ" "ความเป็นผู้นำ" "ทีมเวิร์ค" "การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ของพวกนี้มันไม่ได้จะฝึกกันง่ายๆ

ถ้ารับทุกคนเข้ามาหมด แล้วดูที่การทำงานอย่างเดียว เรื่องความสามารถเชิง Mental อย่างอื่น จะวัดจะดูกันยังไงครับ

หัวหน้างานก็ไม่ได้ว่างจะมาสอนงานเด็กใหม่หลายคนพร้อมๆกันอีกต่างหาก เขาก็ต้องมีงานของเขาเหมือนกัน นี่ไม่ใช่สโมสรหรือชมรมอะไรสักอย่างที่จะมานั่งสอนงานให้กับเด็กน้อยวัยใสได้เต็มที่หรอกครับ

ทุกบริษัทเปิดรับสมัครพนักงาน ก็คาดหวังคนที่ทำงานได้เร็ว เรียนรู้งานได้ไว และเข้ากับผู้อื่นได้ทันที ไม่ใช่ต้องการเด็กทารกสักฝูงเอามาดูแล จ่ายค่าแรงให้ ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ เสื้อผ้า บลาๆๆ มันมีอีกเยอะครับ ที่เราไม่ควรต้องเสียไปกับคนที่ "อาจจะไม่ได้ร่วมงานด้วย"

สู้เอา budget ตรงนั้นไปมอบให้กับ คนที่ "อาจจะได้ร่วมงานด้วย" ไม่ดีกว่าหรือครับ

แทนที่จะมาเสียเวลาประเมินผลงานของคนหลายคน
สู้เอาเวลาไปเลือกไปคัดสรรคนแค่คนเดียวที่เหมาะกับตรงนั้นที่สุดมา แล้วค่อยมาดูอีกทีว่าเขาจะผ่าน 120 วันทดลองงานไปได้หรือเปล่า จะดีกว่ามั้ย

ส่วนเรื่องที่ว่า ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเด็กสักคนทำงานได้หรือเปล่า?

ผมก็ต้องตอบว่า มันก็เหมือนไปซื้อของในตลาดสดนั่นแหละครับ

ผลไม้ ผัก เนื้อหมู ปลา กุ้ง ฯลฯ

จะซื้อทั้งที ต้องดูเป็นมั้ยครับ ว่าอันไหนสด อันไหนไม่สด ดูแค่ภายนอกมันบอกไม่ได้ก็จริงว่าของชิ้นนั้นมันอร่อยหรือเปล่า

แต่จะให้ซื้อมาทั้งหมด แล้วกินทีละอัน อันไหนดีเก็บไว้ อันไหนไม่ดี เอาไปคืน งั้นเหรอครับ

ตลกเป็นบ้าเลย

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เป็นพนักงานประจำ....ปลายทางของชีวิตมันอยู่ที่ไหน? ใครๆก็พูดว่า "สักวันจะทำอะไรเป็นของตัวเอง" แล้ววันนี้คือวันไหนกันล่ะ?

ผมคงไม่พูดว่า งานประจำเป็นสิ่งไม่ดีครับ

มันดีครับ ดีจริงๆและมีประโยชน์ต่อชีวิตเรามากๆ

แน่นอน อย่างแรกคือมันทำให้เรามีกินมีใช้อยู่ทุกวันจากเงินเดือนที่ต้องจัดการบริหารมันให้ดี เราก็จะมีข้าวกิน 3 มื้อ มีที่ซุกหัวนอน มีเงินช็อบปิ้ง กินอาหารนอกบ้าน พาแฟนไปเที่ยว หรือแม้แต่มีเงินเก็บหรือเลี้ยงดูครอบครัวอย่างเหมาะสม

แต่ทำไม หลายๆคนส่วนใหญ่ถึงได้บ่นทุกครั้งที่ "วันจันทร์" มาถึง

ผมเข้าใจครับ

งานประจำมันน่าเบื่อก็ตรง "หัวหน้า" เป็นหลักนี่แหละ

สังเกตุมั้ยครับ ถ้างานเรามันไม่แย่จนเกินไป เงินเดือนพออยู่ได้ และหัวหน้าเรานั้นดี เรามักจะมองเรื่องการย้ายงานเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ

แต่พอวันนึง มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เราก็พบว่า เราอยากลาออก ไปหาอะไรสักอย่างทำ อะไรที่เป็นของเราเองจริงๆ

อยากจะตื่นสาย ไม่ต้องแหกขี้ตาขึ้นมานั่งรอรถบัส
อยากจะไปเดินห้างวันธรรมดา
อยากจะไม่ต้องตอกบัตรเช็คเวลาทำงาน
อยากจะไม่ต้องนั่งทำโอทีหลังขดหลังแข็ง
และอยากจะทำอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย

ผมคงไม่บอกว่า นั่นคือข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจหรอกครับ เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ว่า...
หากเราจะเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจในวันหนึ่ง
แล้ววันนั้นคือเมื่อไหร่ล่ะครับ?

ผมถามรุ่นน้องหรือลูกน้องหลายคน ถามถึงเรื่องอนาคตในการทำงานว่าอยากจะขึ้นไปถึงตำแหน่งไหน หรือได้ทำอะไรบ้างที่ตัวเองสนใจในอนาคต

แน่นอน ร้อยละ 90 ตอบว่า

"วันนึงจะมีธุรกิจของตัวเอง"

ผมก็บอกว่า มันดีนะ แต่ไอ้วันนั้นที่ว่าน่ะ มันเมื่อไหร่กันล่ะ?

เพราะในเมื่อเรายังทำงานประจำอยู่ ตอนเช้าไม่ต้องพูดถึง ตื่นมารีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ตอนเย็นเลิกงานกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็ทุ่มสองทุ่มไปแล้ว วันไหนหนักหน่อยก็ทำโอที ถึงบ้านทีก็ข่าวจบแล้วนู่น

ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องขอพักผ่อนกันบ้าง ต้องทำงานบ้าน ต้องซักผ้า ต้องไปหาอะไรกินกับเพื่อน นัดแฟนดูหนัง ไปทำนู่นทำนี่ เผลอๆอีกทีก็กลายเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็นไปเสียแล้ว

แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเริ่มทำอะไรของตัวเองล่ะ

จะให้ไปศึกษาอะไรใหม่ๆ ก็ลำบาก เพราะไม่มีเวลาจะทุ่มเท
จะให้ไปขายของทั่วไปที่คนอื่นก็ขายกันอยู่เยอะแยะ ก็มองออกว่ายังไงก็รวยและหากินระยะยาวไม่ได้

สุดท้าย วันจันทร์ก็กลับมาอีกครั้ง

และลูปนี้ก็วนต่อๆไปจนครบเดือน ครบปี ถึงวันเกิด
บางคนเป่าเค้กโดยไม่คิดอะไร ดีใจที่ได้มาฉลองกับเพื่อน

แต่บางคน กลับนั่งคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา นี่ตูมีอะไรดีกว่าปีที่แล้วมั่งวะ นอกจากเงินเดือนขึ้น 6%

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นง่ายๆครับ

อะไรบางอย่างที่เราทำแล้ว เรารู้สึกว่า "ดีใจ" ที่ได้ทำมัน หรือ ดีใจ ที่ได้ "เก่งขึ้น"

อะไรบางอย่างนั้น หากเราทำไปสักพัก ทำไปนานๆเข้า มากกว่าคนอื่นส่วนใหญ่ เราก็จะกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนรอบตัวได้ไม่ยาก

ไม่เชื่อลองนั่งคิดดูสิครับ อะไรบ้างที่เราคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คือพูดไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเรานั้น Advance ไปแล้วโคตรๆ

ไม่ใช่เรื่องอัพเดตชีวิตอย่าง ข่าว หรือ ละคร อะไรพวกนั้นนะครับ
รู้ไว้มันก็ดี แต่ถ้ามันทำให้เราสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์

เหมือนที่ อ.เฉลิมชัย ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าเก่งแล้วจน คือมึงไม่เก่ง" หรือ "มึงจะเก่งไปทำไม?"

ผมถามลูกน้องเหล่านั้นอีกครั้งว่า "แล้วธุรกิจที่ว่า อยากจะทำอะไรล่ะ"

บางคนอ้ำอึ้ง บางคนก็คิดสักพักแล้วก็ตอบได้ว่า อยากเปิดร้านเสื้อผ้ามั่งล่ะ อยากเปิดร้านอาหารมั่งล่ะ อยากซื้อเฟรนช์ไชส์มาทำมั่งล่ะ ฯลฯ

ผมบอกว่า มันก็ดีนะ แต่ไอ้วันนั้นน่ะ มันจะมาถึงเมื่อไหร่

ก็เงียบกันหมด บางคนตอบได้ว่า 5 ปีครับ 3 ปีค่ะ ฯลฯ

ผมก็ถามต่อว่า แล้วไอ้วันก่อนจะครบ 5 ปี 3 ปี นั่นน่ะ เราจะพร้อมสำหรับธุรกิจพวกนั้นแล้วใช่มั้ย?
รู้แล้วใช่มั้ยว่าลาออกไปแล้วจะอยู่รอดได้ หรือไม่อดตาย

...เงียบกริบ...

สิ่งที่ผมต้องการบอกน้องๆทุกคนก็คือ

มันไม่มีทางหรอก ที่วันนึงอยู่ดีๆตื่นมาแล้วจะมีร้านของตัวเองรอให้เราไปเปิด Grand Openning พร้อมลูกค้าที่มายืนรอคิวให้เรารับออเดอร์

มันต้องค่อยๆสร้างครับ จาก 0 ไปเป็น 1,2,3,4,.... จนถึง 100 หรือ 1000

ซึ่งไอ้สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ ยิ่งในตอนเริ่มต้น มันยิ่งยากกว่าเป็นหลายเท่า

ผมสรุปจบการสนทนากับน้องๆด้วยการแนะนำให้พวกเขาไปเริ่มหาอะไรเรียนรู้เพิ่มเติมเสียบ้าง มากกว่าอยู่เฉยๆหรือรอให้อะไรบางสิ่งมันเกิดขึ้น นั่นเรียกถูกหวย ไม่ใช่ประสบความสำเร็จในชีวิตครับ

แล้วเมื่อวันนึง วันที่เรามีความรู้ มีความมั่นใจมากพอ เราจะลองเริ่มนับ 1 จากตอนแรกที่มีแค่ 0

และใครจะรู้ล่ะ ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน

ถึง 10
ถึง 100
หรือถึง 1000

มีแค่ชีวิติของใครของมันครับ ที่จะหาคำตอบเหล่านี้ได้เท่านั้น

เอาใจช่วยทุกท่านให้ต่อสู้และไม่หยุดนิ่งครับผม

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อีก 76 วันของการเป็นลูกจ้าง - ความสัมพันธ์

ผมกับแฟนงอนกันไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นระยะๆ เป็นช่วงๆ

ช่วงไหนที่มีเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆเข้ามาทำให้เธอเข้าใจผมผิด หรือบางอย่างมันขัดใจเธอ ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการงอนครั้งใหม่ที่แน่นอนว่า คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเอาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาปนจนกลายเป็นเราเองที่อาจจะเป็นฆาตกรในสายตาเธอไปได้ในที่สุด

ความผิดส่วนใหญ่มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงมากนักหรอกครับ มันก็เรื่องเล็กๆน้อยๆกันนี่แหละ

ผมได้ฟังเรื่องราวมากมายจากน้องๆที่ทำงานหรือคนที่มีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับผมตามประสาพี่น้องเพื่อนฝูง

สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้มากที่สุด กลับไม่ใช่คู่ของเราไม่เป็นอย่างใจเราครับ

แต่มันคือ "การเปรียบเทียบ" ต่างหาก

เปรียบเทียบกับแฟนเพื่อน
เปรียบเทียบกับตัวเอกในละคร
เปรียบเทียบกับแฟนเก่าตัวเอง
หรือเปรียบเทียบกับใครก็ตามในชีวิต ไม่ว่าเขาจะมีตัวตนจริงๆหรือไม่ก็ตาม

และนั่นย่อมไม่ก่อให้เกิดผลดีตามมาเป็นแน่ครับ

ผมไม่รู้ว่าการถูกเปรียบเทียบกับใครจะแย่ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่เปรียบเทียบ นั่นน่าจะดีที่สุดครับ

ยอมรับว่าครั้งนึง เคยโดนเหมือนกันครับ มันเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บเสียอีกที่ได้รู้ว่า เรานั้นห่วยเหมือนคนๆนั้นที่แฟนยกตัวอย่างมา หรือเรานั้นแย่แค่ไหนเมื่อเทียบกับพระเอกที่เขาพูดให้ฟังแล้วเราเป็นแบบนั้นไม่ได้

จะว่าไป ตอนเริ่มคบกันใหม่ๆ เรื่องพวกนี้มันไม่มีประเด็นเท่าไหร่หรอกครับ

เพราะคนสองคนอยู่กันได้ สบายใจ และเป็นตัวของตัวเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเริ่ม "คบกัน"

แต่เชื่อมั้ยครับ เวลาผ่านไป สิ่งที่มันมีมากขึ้นไม่ใช่แค่ "ความผูกพันธ์" แค่อย่างเดียว

แต่กลับเป็นการ "คาดหวัง" ที่มากขึ้นด้วย

คุณผู้หญิงก็จะคาดหวังว่าแฟนของตัวเองนั้นต้อง

"คิดเองได้"
"เข้าใจเธอมากที่สุด"
"ตามใจเธอมากๆเหมือนเดิมและเพิ่มขึ้นด้วย"
"มองเธอว่าเป็นคนเดียวที่สวยที่สุด"
"ทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี"

ไม่ว่าจะหวังไว้อย่างไร เชื่อมั้ยครับว่าส่วนใหญ่นั้น ผิดหวังไปตามๆกัน

เพราะ "ผู้ชายนั้น ไม่เคยเปลี่ยน" ครับ

เขาจะเป็นสิ่งที่เคยเป็นเมื่อตอนแรกรัก เพราะเข้าใจว่า ที่ผู้หญิงของเขาเลือกเขาให้เป็นแฟน ก็เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่คบกันแล้ว จะให้เขาเป็นอีกคนนึงที่ไม่ได้เป็น

ถ้าผู้ชายคนไหนคิดได้ว่า ที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้เขาเป็นอีกคน หมายถึง "คนที่ดีขึ้น" ไม่ใช่คนอื่น ผู้ชายคนนั้นก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เธอพึงพอใจมากขึ้น

แต่ถ้าชายคนไหนที่ไม่ได้คิดแบบนั้น และยืนกรานหนักแน่นว่า "ก็ตูเป็นของตูแบบนี้นี่หว่า ให้ทำไง"

สิ่งที่จะตามมาคือ การทะเลาะกันครับ แน่นอนว่าผู้หญิงนั้นต้องการให้ผู้ชายเป็น "ชายที่ดีขึ้น" ซึ่งสวนทางกับความคิดของผู้ชายส่วนใหญ่ ว่าเขานั้น "ดีอยู่แล้ว คุณถึงเอาเราเป็นแฟนยังไงล่ะ"

และถ้าปลายทางมันไม่เป็นอย่างที่คิด จะมีอย่างน้อยคนนึงที่ทุกข์ครับ

ทุกข์เพราะผิดหวัง ไม่ได้อย่างใจ
ทุกข์เพราะผิดหวัง ทำไมต้องมายุ่งกับฉันด้วย

ขณะที่ในมุมมองผู้ชายนั้น ตอนเริ่มคบกับผู้หญิง ก็เพราะรู้สึกว่า อยู่ด้วยกับเธอแล้วช่างสบายใจยิ่งนัก เป็นตัวของตัวเองได้มากกว่าสาวคนอื่น พวกเขาจึงขอเธอเป็นแฟน และเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยกันเพื่อค้นหาว่า เราจะไปกันได้ไกลแค่ไหน

ปัญหาคือ สำหรับผู้หญิงนั้น เมื่อได้รู้สึกดีกับใครด้วยแล้ว พวกเธอก็มักจะเปลี่ยนร่าง แปลงตัวเองให้กลายเป็น "นางเอก" ในฝันของพวกผู้ชายไปซะอย่างนั้น

เหมือนเป็นกับดักก็ไม่ปาน พวกผู้ชายหลงคิดไปว่า นี่คือตัวตนจริงๆของเธอ สาวน้อยที่ว่าง่าย เอาใจเรา ไม่งี่เง่า ไม่เรื่องมาก ไม่จู้จี้ ไม่ขี้บ่น ไม่ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ชวนทะเลาะ เธอช่าง Perfect เสียนี่กระไร

ดังนั้น จะปล่อยเธอไปก็กระไรอยู่

การขอเธอเป็นแฟนจึงได้นำพาพวกเขาทั้งสองให้ร่วมกันเดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกว่า "ชีวิตคู่" กลายๆ

ไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานนะครับ เอาแค่คบกันนี่แหละ

และเมื่อเวลาผ่านไป

ใครมันจะเป็นนางเอกแสนดีได้ตลอดเวลาล่ะ

สาวเจ้าก็ย่อมต้องกลับสู่ธรรมชาติเดิมของพวกเธอครับ ขี้บ่น ขี้เหวี่ยง ขี้วีน จู้จี้ จุกจิก ฯลฯ
(ไม่พูดต่อละกันนะ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกัน)

พวกผู้ชาย ก็เริ่มงงสิครับ อ้าว... ทำไมตอนแรกไม่เป็นแบบนี้วะเนี่ย จะได้รู้กันก่อนคบ

ซึ่ง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผู้หญิงเขาจะแสดงตัวตนของตัวเองจริงๆออกมา ก็ต่อหน้าคนที่เขาให้เป็น "คนรัก" เท่านั้น จึงมีแต่คุณผู้ชายผู้โชคดีเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินั้น พร้อมแรงเหวี่ยง 8G ที่พร้อมจะพังบ้านของเราให้มาคุได้ตลอดเวลา

และเรื่องที่ผู้หญิงเหวี่ยงมันคืออะไรกันล่ะ?

ถามได้ครับ ก็เรื่องที่ ผู้ชาย "ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือทำอะไรให้ชีวิตคู่มันดีขึ้นบ้างเลย" นั่นแหละ

พอเข้าใจมั้ยครับ?
ผู้หญิงคบกับผู้ชายสักคน ก็คาดหวังว่าเขาจะดี... ดีพอที่เธอจะฝากความหวังและความฝันทั้งชีวิตไว้ด้วยได้ ซึ่งหากมันไม่เป็นไปตามนั้นแม้สักข้อเดียวใน 100 ข้อ

เธอก็มีเหตุผลมากพอที่เหวี่ยงพวกเราได้เต็มที่ครับ

ซึ่งจริงๆปลายทางของเรื่องนี้มันมีแค่ "นี่เธอไม่คิดจะ.... มั่งเลยเหรอ?"

คิดหรือไม่คิดไม่รู้ รู้แค่อย่างเดียวว่า "แฟนกูสั่ง"

และนั่นทำให้ชายหลายคนไม่ชอบครับ พวกเขาจึงอยากออกจากบ้าน ไปหาเพื่อน เพราะเพื่อนไม่จู้จี้หรือบอกให้เขาเปลี่ยนอะไร ไปหาเด็กดริ๊งค์ เพราะพวกเธอต้องการแค่ค่าดริ๊งค์และก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะต้องมีเรื่องอื่นที่ดีกว่าเงินในกระเป๋าตังค์

แย่สุดคือ ไปหา กิ๊ก หรือเด็กใหม่สักคนครับ

เพราะผู้ชายจะได้รับ "ช่วงเวลา" อันสุดแสนจะมีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเองนั้นใหม่อีกรอบ

และปัญหาอีก 50 โขยง ก็จะตามมาอีกเป็นพรวนครับ



ดังนั้น หากใครจะมองว่า ความสัมพันธ์มันคืออะไร

มันคือเรื่องที่มีแค่ "คนสองคน" เท่านั้นครับ

เมื่อใดก็ตามที่คุณดึงเอาคนที่ 3 เข้ามา

จะมีคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยที่เจ็บปวด และรอยร้าวที่เกิดขึ้น จะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิมได้อีกเด็ดขาดครับ

ผมเลยต้องนิ่งเอาไว้ นิ่งให้มากที่สุดเพื่อจะไม่ยอมให้ตัวเองออกไปจากบ้านตอนที่ทะเลาะกับแฟน หรือไปหาความสุขที่อื่น

เต็มที่คือ ฟังที่แฟนบ่น ขอโทษเธอ และปล่อยให้เธอไปอาบน้ำนอน ส่วนเราก็นั่งทำงานต่อไปหน้าคอมตัวเองเรื่อยๆครับ

ดีที่สุด


แล้วของพวกคุณล่ะครับ

วิธีแก้ปัญหาเวลาทะเลาะกับแฟน

มันช่วยให้พวกคุณไม่ต้องสร้างปัญหาอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก ใช่มั้ยครับ? ^^