วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เป็นพนักงานประจำ....ปลายทางของชีวิตมันอยู่ที่ไหน? ใครๆก็พูดว่า "สักวันจะทำอะไรเป็นของตัวเอง" แล้ววันนี้คือวันไหนกันล่ะ?

ผมคงไม่พูดว่า งานประจำเป็นสิ่งไม่ดีครับ

มันดีครับ ดีจริงๆและมีประโยชน์ต่อชีวิตเรามากๆ

แน่นอน อย่างแรกคือมันทำให้เรามีกินมีใช้อยู่ทุกวันจากเงินเดือนที่ต้องจัดการบริหารมันให้ดี เราก็จะมีข้าวกิน 3 มื้อ มีที่ซุกหัวนอน มีเงินช็อบปิ้ง กินอาหารนอกบ้าน พาแฟนไปเที่ยว หรือแม้แต่มีเงินเก็บหรือเลี้ยงดูครอบครัวอย่างเหมาะสม

แต่ทำไม หลายๆคนส่วนใหญ่ถึงได้บ่นทุกครั้งที่ "วันจันทร์" มาถึง

ผมเข้าใจครับ

งานประจำมันน่าเบื่อก็ตรง "หัวหน้า" เป็นหลักนี่แหละ

สังเกตุมั้ยครับ ถ้างานเรามันไม่แย่จนเกินไป เงินเดือนพออยู่ได้ และหัวหน้าเรานั้นดี เรามักจะมองเรื่องการย้ายงานเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ

แต่พอวันนึง มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เราก็พบว่า เราอยากลาออก ไปหาอะไรสักอย่างทำ อะไรที่เป็นของเราเองจริงๆ

อยากจะตื่นสาย ไม่ต้องแหกขี้ตาขึ้นมานั่งรอรถบัส
อยากจะไปเดินห้างวันธรรมดา
อยากจะไม่ต้องตอกบัตรเช็คเวลาทำงาน
อยากจะไม่ต้องนั่งทำโอทีหลังขดหลังแข็ง
และอยากจะทำอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย

ผมคงไม่บอกว่า นั่นคือข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจหรอกครับ เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ว่า...
หากเราจะเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจในวันหนึ่ง
แล้ววันนั้นคือเมื่อไหร่ล่ะครับ?

ผมถามรุ่นน้องหรือลูกน้องหลายคน ถามถึงเรื่องอนาคตในการทำงานว่าอยากจะขึ้นไปถึงตำแหน่งไหน หรือได้ทำอะไรบ้างที่ตัวเองสนใจในอนาคต

แน่นอน ร้อยละ 90 ตอบว่า

"วันนึงจะมีธุรกิจของตัวเอง"

ผมก็บอกว่า มันดีนะ แต่ไอ้วันนั้นที่ว่าน่ะ มันเมื่อไหร่กันล่ะ?

เพราะในเมื่อเรายังทำงานประจำอยู่ ตอนเช้าไม่ต้องพูดถึง ตื่นมารีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ตอนเย็นเลิกงานกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็ทุ่มสองทุ่มไปแล้ว วันไหนหนักหน่อยก็ทำโอที ถึงบ้านทีก็ข่าวจบแล้วนู่น

ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องขอพักผ่อนกันบ้าง ต้องทำงานบ้าน ต้องซักผ้า ต้องไปหาอะไรกินกับเพื่อน นัดแฟนดูหนัง ไปทำนู่นทำนี่ เผลอๆอีกทีก็กลายเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็นไปเสียแล้ว

แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเริ่มทำอะไรของตัวเองล่ะ

จะให้ไปศึกษาอะไรใหม่ๆ ก็ลำบาก เพราะไม่มีเวลาจะทุ่มเท
จะให้ไปขายของทั่วไปที่คนอื่นก็ขายกันอยู่เยอะแยะ ก็มองออกว่ายังไงก็รวยและหากินระยะยาวไม่ได้

สุดท้าย วันจันทร์ก็กลับมาอีกครั้ง

และลูปนี้ก็วนต่อๆไปจนครบเดือน ครบปี ถึงวันเกิด
บางคนเป่าเค้กโดยไม่คิดอะไร ดีใจที่ได้มาฉลองกับเพื่อน

แต่บางคน กลับนั่งคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา นี่ตูมีอะไรดีกว่าปีที่แล้วมั่งวะ นอกจากเงินเดือนขึ้น 6%

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นง่ายๆครับ

อะไรบางอย่างที่เราทำแล้ว เรารู้สึกว่า "ดีใจ" ที่ได้ทำมัน หรือ ดีใจ ที่ได้ "เก่งขึ้น"

อะไรบางอย่างนั้น หากเราทำไปสักพัก ทำไปนานๆเข้า มากกว่าคนอื่นส่วนใหญ่ เราก็จะกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนรอบตัวได้ไม่ยาก

ไม่เชื่อลองนั่งคิดดูสิครับ อะไรบ้างที่เราคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คือพูดไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเรานั้น Advance ไปแล้วโคตรๆ

ไม่ใช่เรื่องอัพเดตชีวิตอย่าง ข่าว หรือ ละคร อะไรพวกนั้นนะครับ
รู้ไว้มันก็ดี แต่ถ้ามันทำให้เราสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์

เหมือนที่ อ.เฉลิมชัย ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าเก่งแล้วจน คือมึงไม่เก่ง" หรือ "มึงจะเก่งไปทำไม?"

ผมถามลูกน้องเหล่านั้นอีกครั้งว่า "แล้วธุรกิจที่ว่า อยากจะทำอะไรล่ะ"

บางคนอ้ำอึ้ง บางคนก็คิดสักพักแล้วก็ตอบได้ว่า อยากเปิดร้านเสื้อผ้ามั่งล่ะ อยากเปิดร้านอาหารมั่งล่ะ อยากซื้อเฟรนช์ไชส์มาทำมั่งล่ะ ฯลฯ

ผมบอกว่า มันก็ดีนะ แต่ไอ้วันนั้นน่ะ มันจะมาถึงเมื่อไหร่

ก็เงียบกันหมด บางคนตอบได้ว่า 5 ปีครับ 3 ปีค่ะ ฯลฯ

ผมก็ถามต่อว่า แล้วไอ้วันก่อนจะครบ 5 ปี 3 ปี นั่นน่ะ เราจะพร้อมสำหรับธุรกิจพวกนั้นแล้วใช่มั้ย?
รู้แล้วใช่มั้ยว่าลาออกไปแล้วจะอยู่รอดได้ หรือไม่อดตาย

...เงียบกริบ...

สิ่งที่ผมต้องการบอกน้องๆทุกคนก็คือ

มันไม่มีทางหรอก ที่วันนึงอยู่ดีๆตื่นมาแล้วจะมีร้านของตัวเองรอให้เราไปเปิด Grand Openning พร้อมลูกค้าที่มายืนรอคิวให้เรารับออเดอร์

มันต้องค่อยๆสร้างครับ จาก 0 ไปเป็น 1,2,3,4,.... จนถึง 100 หรือ 1000

ซึ่งไอ้สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ ยิ่งในตอนเริ่มต้น มันยิ่งยากกว่าเป็นหลายเท่า

ผมสรุปจบการสนทนากับน้องๆด้วยการแนะนำให้พวกเขาไปเริ่มหาอะไรเรียนรู้เพิ่มเติมเสียบ้าง มากกว่าอยู่เฉยๆหรือรอให้อะไรบางสิ่งมันเกิดขึ้น นั่นเรียกถูกหวย ไม่ใช่ประสบความสำเร็จในชีวิตครับ

แล้วเมื่อวันนึง วันที่เรามีความรู้ มีความมั่นใจมากพอ เราจะลองเริ่มนับ 1 จากตอนแรกที่มีแค่ 0

และใครจะรู้ล่ะ ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน

ถึง 10
ถึง 100
หรือถึง 1000

มีแค่ชีวิติของใครของมันครับ ที่จะหาคำตอบเหล่านี้ได้เท่านั้น

เอาใจช่วยทุกท่านให้ต่อสู้และไม่หยุดนิ่งครับผม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น