วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตลก comment ที่ด่า HR ครับ 555

มีโอกาสได้อ่านกระทู้ "เด็กจบใหม่จ๋า ฟัง HR หน่อย..."

ซึ่งเนื้อหาในนี้เป็นความคิดเห็นจากเจ้าของกระทู้ที่ทำงานเป็น HR ได้ประมาณ 5 ปี เจ้าตัวเองยอมรับว่าไม่ได้มีประสบการณ์มากมายเหมือนคนที่อาวุโสกว่า รวมถึงยอมรับว่าตัวเองก็เป็นเด็กรุ่นใหม่พอกันกับเด็กจบใหม่สมัยนี้

ในเนื้อหา จขกท.ได้พิมพ์ความคิดเห็นส่วนใหญ่ถึงเรื่องเมื่อตอนที่ตัวเองเพิ่งเรียนจบและหางานทำ ได้มาสัมภาษณ์งาน ตจว.หลายครั้ง ผิดหวังก็หลายหน จนต้องสัมภาษณ์ถึง 5 ครั้ง กว่าจะได้งาน

ผมอ่านดูก็รู้สึกได้ว่า เป็นกระทู้ที่ดีเยี่ยมกระทู้หนึ่งครับ

มีการแชร์และเสนอความคิดในมุมมองของ HR ซึ่งมีประโยชน์ต่อเด็กจบใหม่ที่ต้องการจะหางานทำแน่ๆ แม้จะไม่ได้ยกตัวอย่างเคสเว่อร์ๆหรือสุดกู่อะไรนัก

นอกจากนั้นยังมี HR ท่านอื่นมาช่วยเสริมและเพิ่มข้อคิดเห็นให้ ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์อีกมากมายทีเดียวสำหรับคนที่ตั้งใจจะหางานทำหรือฝึกตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน ซึ่งส่วนใหญ่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากแน่ๆครับ

แต่ประเด็นมันมีอยู่ว่า

ในกระทู้นี้ มีหลายความเห็นที่เป็นความเห็นของ "คนที่มาสมัครงาน" ฝากถึง HR อีกหลายความเห็นเลยทีเดียว

และหลายๆความเห็นในนั้น ได้รับการกดถูกใจให้เป็นคอมเมนต์ตัวอย่างค่อนข้างมาก

ซึ่งผมอ่านๆไปแล้วก็.... เอ่อม..... แบบว่า....

ยกตัวอย่างนะครับ

เคส 1

สตรีท่านหนึ่งได้เข้ามาโวย HR ว่า ไม่ค่อยจะชอบอ่าน Resume ให้ดีก่อนเรียกมาสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ตนเองนั้นกำลังเรียนปริญญาตรีภาคพิเศษอยู่ (คือยังเรียนไม่จบว่างั้น) แต่ HR ก็เรียกมาสัมภาษณ์ และพอ HR ได้อ่านใบสมัครหรือ Resume ก็ประมาณว่า "อ้าววว ยังไม่จบป.ตรีหรือเนี่ย??" ทำให้เกิดอาการเหวอ โดยเฉพาะคนมาสมัครงาน ซึ่งก็ทำให้ต้องเสียโอกาสในการเดินทางมาหรือเตรียมตัวเพื่อสัมภาษณ์หลายครั้ง

ความคิดเห็นของผมคือ น้องคนนี้ไม่ได้ผิดอะไรครับ ผิดหลักๆก็น่าจะเป็น HR บางที่นั่นแหละ ที่ไม่ได้อ่าน Resume ให้ดีก่อน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยครับว่า HR ส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะรับใครหรือไม่รับใครมาทำงานในท้ายที่สุด ต้องมีการปรึกษาหารือกับหัวหน้าแผนกนั้นๆด้วยว่า จะรับคนที่มาสัมภาษณ์คนนี้คนนั้นหรือเปล่า ถ้าตำแหน่งที่มาสมัคร เป็นพนักงานระดับปฏิบัติงานที่มีการสัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็เป็นอีกเรื่องครับ HR อาจจะสัมภาษณ์เองได้เลย ก็ว่าไปเป็นเคสๆ

แต่เรื่องที่น้องผู้หญิงท่านนี้จะต่อว่า HR ว่าไม่ดูให้ดีก่อนเรียก ส่วนตัวผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นการผิดอะไรนัก เพราะถ้าน้องเรียนจบแล้วจริง HR จะเรียกมาสัมภาษณ์ก็ไม่แปลก การที่ HR เลือกใบสมัครมาจากเว็บไซต์ฝากงานหรือหางาน ส่วนใหญ่ เว็บพวกนี้มันจะมีให้กรอก "วุฒิการศึกษา" ไว้อยู่แล้ว HR ก็ search เอาจากในนี้แหละครับ เพราะฉะนั้น ถ้า HR ต้องการวุฒิปริญญาตรี แล้วเรียกน้องมาสัมภาษณ์ ก็มั่นใจได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR ก็เลือกจากประวัติที่น้องกรอกไว้ในเว็บนั่นล่ะครับ

แต่ถ้าไม่ได้เป็นการหางานผ่านเว็บ อย่างเช่น น้องเป็นคนส่งเมลล์ Resume เข้ามาหา HR เองสำหรับตำแหน่งที่น้องต้องการหรือที่ HR เขาติดประกาศไว้ ก็ต้องถามหน่อยล่ะครับ ว่าในตำแหน่งนั้นๆมันระบุชัดเจนหรือเปล่าว่า HR เขาต้องการพนักงานที่จบวุฒิอะไรมา?

ถ้าในนั้นเขาเขียนชัดเจน แล้วน้องยังส่ง Resume มาอีก วันสัมภาษณ์ HR ไล่กลับก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะน้องเองนั่นแหละ ที่เป็นคนทะลึ่งส่ง Resume เข้ามาในตำแหน่งงานที่น้องมี Qualify ไม่ถึงเอง

เพราะฉะนั้น ถ้ามั่นใจว่า เราเองลงข้อมูลทุกอย่างในเว็บไซต์หางานได้ถูกต้องกับความเป็นจริงของเราแล้ว หรือเรามั่นใจว่าวุฒิที่บริษัทเขาต้องการมันตรงกับเรา ก็ไม่มีปัญหาครับ

แต่ในเคสนี้ ผมอยากจะคิดไปว่า น้องยังเรียนไม่จบ แล้วจะของานของคนที่เรียนจบแล้ว HR ไม่โอเค เขาก็ไม่รับ ก็ถูกของเขาแล้วนี่ครับ ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าน้องจะเรียนจบมาจริงๆหรือเปล่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ

เคส 2

กรณี HR จะไม่รับเข้าทำงานหรือปฏิเสธ น้องๆหลายคนบ่นว่า ไม่ค่อยมี HR โทรแจ้ง

ผมแนะนำว่าอย่างนี้ครับ

ตอนสัมภาษณ์เสร็จ ก็ถามไปเลยครับ ว่า จะรู้ผลภายในประมาณกี่วันหรือกี่สัปดาห์
ถ้า HR โทรมาก่อนนั้น จะได้เข้าใจ หรือถ้าไม่มีการติดต่อมาเลย ก็จะได้เข้าใจเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรครับ HR ย่อมต้อง deal กับ candidate จำนวนมากอยู่แล้ว เอกสารอาจจะล่าช้าไปบ้าง บางทีก็เพราะต้นสังกัดแผนกนั้นๆเอาผลสัมภาษณ์ไปดองก็มี HR ก็ลืมตาม บลาๆๆ ร้อยแปด ฯลฯ ไม่ขอแก้ตัวแทน HR เพราะมันพลาดกันได้ แนะนำว่า ส่วนใหญ่ ไม่เกิน 2 อาทิตย์หรอกครับ ถ้าเกินนั้น ปล่อยทิ้งไปได้เลย หางานใหม่จะดีกว่าครับ

เคส 3

น้องคนนึงบ่นเรื่อง อยากให้เป็นการสัมภาษณ์แบบ 2-way Communication อันนี้ผมไม่เถียงครับ
ได้สื่อสารพูดคุยกันทั้งสองฝั่งมันดีกว่าถูกถามๆๆอยู่ฝั่งเดียวอยู่แล้ว

แต่ว่า อย่างที่บอก HR ไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องหน้างานทุกอย่างของแผนกที่น้องจะเข้าทำงานนะครับ อาจจะเป็นแค่การสอบถามให้ทุกอย่างมันผ่าน "ขั้นต่ำที่รับได้" ก่อน แล้วค่อยส่งคนที่สกรีนแล้วไปให้ต้นสังกัดก็ได้ ในกรณีที่ตำแหน่งนั้นๆมีคนมาสมัครเยอะ

คือ จริงๆ HR เขาก็ดูรวมๆน่ะครับ ไม่ได้จะบอกว่าคนนั้นคนนี้ผ่านไม่ผ่าน ควรได้ไปต่อหรือไม่อะไรยังไงหรอกครับ แต่เขาต้องการจะ สกรีน คนที่มันไม่ได้เรื่องออกไปก่อนจะส่งไปให้แผนกต้นสังกัดที่ต้องการคน เพื่อจะได้ลดกระบวนการสัมภาษณ์ ให้แผนกนั้นๆได้มีการพูดคุยกับผู้มาสัมภาษณ์ได้เต็มที่

ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR แค่ต้องการจะสกรีนคนที่ "คุยไม่รู้เรื่อง" หรือ "งี่เง่า" ออกไปครับ

แน่นอน เรื่องพวกนี้ มันมีคำว่า "อคติ" มาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่มากก็น้อย HR ไม่ใช่พระอรหันต์ บางคนก็อาจจะตัดความรู้สึกด้านลบบางอย่างออกไปไม่หมดแล้วตัดสินพนักงานก่อนจะส่งไปให้ด่านต่อไปก็เป็นได้

ถามว่า HR ผิดมั้ย?

ก็ผิดครับ แต่ไม่เต็มร้อย

ต้องถามคนที่มาสมัครงานด้วย ว่า ทำตัวดีแล้วหรือยัง คุยรู้เรื่องแล้วหรือยัง

ผมสัมภาษณ์คนมาเยอะครับ ส่วนใหญ่ เจอพวกพูดจาไม่รู้เรื่องนี่ ผมคุยๆผ่านๆพอเป็นพิธีแล้วก็ให้กลับได้เลยครับ ใครที่คุยรู้เรื่อง ก็คุยกันนานหน่อย

แต่หากเจอพวกไร้มารยาท หยิบโทรศัพท์ หมุนเก้าอี้เล่น พูดจาก้าวร้าวหรือกวนประสาท ห้าวไม่เลือก มั่นใจเกินเหตุ เก๋า เกรียน โชว์เทพ หรือหน้ามึน อันนี้ก็เชิญกลับเช่นกันครับ คุยกันแค่ 5 นาทีก็รู้แล้วว่าจะได้คุยกันต่อหรือเปล่า

เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่อง 2 way communication นั้น ผมว่า มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ Candidate นั้น ผ่าน Qualification ของ HR ไปได้ก่อนแล้ว ถึงจะได้คุยครับ

ดังนั้น ยังไงเสีย HR ก็คือประตูด่านหน้าที่จะบอกว่า น้องๆควรได้ไปต่อหรือเปล่า ระดับหนึ่งครับ ประมาทไม่ได้ ต้องศึกษา หาทางปรับเปลี่ยนบุคลิกตัวเองให้กลายเป็นคนแบบที่ HR ต้องการก่อน แล้วค่อยไปยังแผนกต้นสังกัดต่อไปครับผม

เคส 4

อันนี้ฮาครับ มีตัวเก๋าคนนึงมาบอกว่า HR นั้นไม่ได้เทพขนาดที่จะคุยกะใครไม่นานแล้วจะรู้ว่าคนๆนั้นทำงานได้ดีหรือเปล่า ให้รับเข้ามาก่อน รับให้หมด แล้วให้ทดลองงาน 1 สัปดาห์ ใครไม่เวิร์ค ให้ออก

อ่านอันนี้แล้วผมทั้งขำทั้งสมเพชครับ

น้องคนนี้น่าจะมีความ Aggressive เฉพาะตัวค่อนข้างสูง ไม่รู้ว่าห้าวเฉพาะในคีย์บอร์ดหรือเปล่า แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าเป็น top comment ผมก็จะแสดงความคิดเห็นของผมไปบ้างละกันครับ

เรื่องดูคนออกหรือไม่ออกน่ะนะครับ ต่อให้มีเวลาทั้งวันหรือทั้งอาทิตย์ มันก็ดูกันไม่ออกหรอกครับ ว่าคนๆนึง ทำงานได้มั้ย และมากไปกว่านั้น ทำงานได้ดีมั้ย?

คนส่วนใหญ่ ทำงานได้หมดแหละครับ ถ้าไม่ใช่งานเฉพาะด้านหรืองานระดับบริหารสูงๆ

ต่อให้คุยกันนานกว่านั้น มันก็ไม่มีเรื่องคุยกันครับ เพราะมันแค่คนไม่กี่คนมาทำความรู้จักกันในห้องสี่เหลี่ยม (บางที่ก็ห้องไม่เหลี่ยม) ของจริงมันอยู่ที่การทดลองงาน 120 วันครับ

ซึ่ง ไอ้การที่จะให้คนที่มาสัมภาษณ์ทั้งหมด เข้ามาทำงาน แล้วทดลองงาน 1 สัปดาห์ เพื่อดูว่า ใครทำงานได้ ใครทำงานไม่ได้ คนที่ไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ

ตอบเลยครับ ว่าบริษัทไหนที่ทำแบบนั้นนี่ ปัญญาอ่อนมากครับ

เพราะต้นทุนในการ New Employ คงสูงลิบ การจะสร้างให้พนักงานใหม่สักคนนั้นทำงานได้ ต้องให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในเวลาที่มากพอครับ งานบางอย่าง ทำกันไม่กี่วัน ขณะที่งานบางอย่าง ต้องฝึกต้องสอนกันเป็นเดือน ยิ่งเรื่อง "มนุษยสัมพันธ์" "ทัศนคติ" "ความเป็นผู้นำ" "ทีมเวิร์ค" "การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ของพวกนี้มันไม่ได้จะฝึกกันง่ายๆ

ถ้ารับทุกคนเข้ามาหมด แล้วดูที่การทำงานอย่างเดียว เรื่องความสามารถเชิง Mental อย่างอื่น จะวัดจะดูกันยังไงครับ

หัวหน้างานก็ไม่ได้ว่างจะมาสอนงานเด็กใหม่หลายคนพร้อมๆกันอีกต่างหาก เขาก็ต้องมีงานของเขาเหมือนกัน นี่ไม่ใช่สโมสรหรือชมรมอะไรสักอย่างที่จะมานั่งสอนงานให้กับเด็กน้อยวัยใสได้เต็มที่หรอกครับ

ทุกบริษัทเปิดรับสมัครพนักงาน ก็คาดหวังคนที่ทำงานได้เร็ว เรียนรู้งานได้ไว และเข้ากับผู้อื่นได้ทันที ไม่ใช่ต้องการเด็กทารกสักฝูงเอามาดูแล จ่ายค่าแรงให้ ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ เสื้อผ้า บลาๆๆ มันมีอีกเยอะครับ ที่เราไม่ควรต้องเสียไปกับคนที่ "อาจจะไม่ได้ร่วมงานด้วย"

สู้เอา budget ตรงนั้นไปมอบให้กับ คนที่ "อาจจะได้ร่วมงานด้วย" ไม่ดีกว่าหรือครับ

แทนที่จะมาเสียเวลาประเมินผลงานของคนหลายคน
สู้เอาเวลาไปเลือกไปคัดสรรคนแค่คนเดียวที่เหมาะกับตรงนั้นที่สุดมา แล้วค่อยมาดูอีกทีว่าเขาจะผ่าน 120 วันทดลองงานไปได้หรือเปล่า จะดีกว่ามั้ย

ส่วนเรื่องที่ว่า ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเด็กสักคนทำงานได้หรือเปล่า?

ผมก็ต้องตอบว่า มันก็เหมือนไปซื้อของในตลาดสดนั่นแหละครับ

ผลไม้ ผัก เนื้อหมู ปลา กุ้ง ฯลฯ

จะซื้อทั้งที ต้องดูเป็นมั้ยครับ ว่าอันไหนสด อันไหนไม่สด ดูแค่ภายนอกมันบอกไม่ได้ก็จริงว่าของชิ้นนั้นมันอร่อยหรือเปล่า

แต่จะให้ซื้อมาทั้งหมด แล้วกินทีละอัน อันไหนดีเก็บไว้ อันไหนไม่ดี เอาไปคืน งั้นเหรอครับ

ตลกเป็นบ้าเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น