ล่าสุดเพิ่งได้อ่าน ดราม่า นักศึกษาคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยของจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย ม.
ได้มีการข่มขู่อาจารย์ในเฟซบุค ไม่ว่าจะเอาภาพโลงมาขู่ หรือรูปอาวุธต่างๆ รวมไปถึงขู่จะข่มขืนหรือลงแขก อะไรเทือกนั้น
จนในเว็บดราม่าของจ่า เอามาลงให้อ่าน จึงได้เริ่มรู้เรื่องกับเขาบ้าง
ต้นเรื่อง อยู่ที่อาจารย์ท่านนั้น ท่านไม่เห็นด้วย กับการรับน้องที่เรียกว่า โซตัส ซึ่งแต่ละสถานที่ก็คงแตกต่างกันไป ยิ่งคณะที่มีแต่ผู้ชายมากๆ ก็ยิ่งดิบเถื่อน บ้าบอ หนักข้อกว่าที่ที่มีผู้หญิงอยู่เยอะๆ
ซึ่งผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนวิศวะฯ และได้ผ่านการรับน้องแบบประหลาดๆและโหดๆตามประสาโซตัสในยุคปลายศตวรรษที่ 20 มา เช่นเดียวกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ หลายรุ่น
ส่วนตัวผมคิดว่า มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างออกไปจากเดิมเท่าไหร่หรอกนะครับ ไอ้เรื่องรับน้องหรือโซตัสเนี่ย
แต่เพราะ สมัยนี้ Social Network มันค่อนข้างแพร่หลาย
การเข้าถึงข้อมูล หรือการแชร์เรื่องราวเหล่านี้ มันเลยหลุดมาให้คนนอกได้เห็นค่อนข้างมาก
แน่นอน คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น คงไม่ได้รับรู้หรอกว่า จะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร
ส่วนคนที่อยู่ตรงนั้น ทั้งรุ่นพี่ ที่แบกอีโก้ ที่ต้องทำตามอย่างที่ตัวเองเคยโดนมา หรือรุ่นน้อง ที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ว่าจะหันหน้าไปพึ่งพาใครหรือให้ใครช่วยเหลือได้
จะโดด จะหนี ก็กลัวจะถูกครหา หาว่าไม่รักเพื่อน ไม่รักรุ่น
เอาจริงๆ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่นักกับหลายๆเรื่อง แม้ผมจะเป็นพี่ว้ากคนหนึ่งก็ตาม สาเหตุและปัจจัยมีหลายข้อครับ
1. คือ การกระทำที่รุนแรงเกินไป มันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีกับสภาพจิตใจและร่างกายเท่าไหร่นัก แน่นอน การฝึกให้มีความอดทนเป็นเรื่องดี แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า การให้น้องๆเดินนานๆ หรืออดน้ำ ทนร้อน อึดอัด ร้องเพลงอยู่ในห้องอบอ้าว จะเป็นเรื่องดีไปซะทีเดียว
2. รุ่นพี่ส่วนใหญ่ ชอบเอาเรื่อง "การทำงานในโลกความเป็นจริง" มาอ้างถึง เอาจริงๆ รุ่นพี่เหล่านั้นก็ไม่ได้รู้หรอกว่า ทำงานจริงๆน่ะเป็นยังไง แต่ก็ยังมาสอนรุ่นน้องที่มีอายุห่างกันแค่ปีเดียวได้ ถ้ามองจากมุมมองคนทำงานแล้ว ก็ต้องบอกว่า ไร้สาระ สิ้นดีเลยครับ เพราะเราต่างรู้ว่า จะเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมได้ "ความอดทน" เป็นแค่เรื่องๆหนึ่งที่ควรทำเท่านั้น ซึ่งมันยังมี "ไหวพริบ" "การเอาตัวรอด" "ความเป็นผู้นำ" "ทักษะการนำเสนอ" "การสื่อสาร" และอะไรอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องฝึกฝน
3. สมัย 10-20 ปีที่แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในกิจกรรม มันไม่มีใครรับรู้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันไม่มี FB จะทำอะไร ก็ทำกันไป ว้ากดังว้ากโหดแค่ไหน ก็จัดกันไป พอกิจกรรมจบ ผ่านไป ปี สองปี มันก็กลายเป็นเรื่องเล่าขาน รุ่นนั้นโหดนะ รุ่นนี้โหดกว่า... กลายเป็น Viral เหมือนเพิ่มความขลังให้มัน เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้รุ่นพี่โดยที่รุ่นน้องไม่รู้หรอกว่า อะไรจริงอะไรมั่ว ซึ่งพอมายุคนี้ มี FB คนเขาก็รู้กันหมด ว่าที่ไหน ทำอะไร ยังไง และที่สำคัญ "ทำไปแล้วได้อะไร"
คำถามพวกนี้ เอาจริงๆ ตอบได้ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะถูก เพราะแต่ละเรื่อง แต่ละกิจกรรม ย่อมมีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ยิ่งมีเรื่อง "ความรุนแรง" และ "สุขภาพ" มาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยิ่งหนักครับ
ผมเลยเห็นว่า สมัยนี้ รูปแบบการรับน้อง หรือ โซตัสก็ดี น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามยุคสมัย ไม่ใช่ถืออะไรมาก็ทำกันต่อไปแบบเดิมๆ 30 ปีที่แล้วทำยังไง เดี๋ยวนี้ก็ทำอย่างนั้น ใช่ครับ ทำได้ แต่ผมว่ามันไม่เหมาะแล้ว มันต้องเปลี่ยน
เวลาเปลี่ยน ยุคเปลี่ยน อะไรต้องเปลี่ยนตามครับ ไม่งั้นเราจะก้าวไม่ทันโลก
ผมไม่ได้บอกให้ยกเลิกโซตัส หรือการรับน้อง
แต่ผมอยากให้รูปแบบ มันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อะไรบ้าง ตามสมัย และสังคมที่เปลี่ยนไป
เรื่องว้าก จะมีก็ได้ครับ ไม่ได้ห้าม แต่ ก็ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ใช่ว้ากแม่งทั้งปีทั้งชาติ 24 ชม. อะไรอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ สตอรี่มันต่างออกไปแล้ว พี่ว้ากจะมาดราม่า เด็กๆมันไม่อินแล้วครับ
ลองเปลี่ยนเป็น สร้างโจทย์ ให้เขาไปทำกันดูก็ได้ครับ เช่น ให้ไปช่วยกันทำความสะอาดวัด โรงเรียน ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม โดยให้อยู่ในความดูแลของรุ่นพี่
สร้างโจทย์ให้น้องๆ ช่วยกันทำสิ่งใหม่ๆ และเอาผลงานเป็นตัวชี้วัด แทนที่จะมานั่งดูว่า รุ่นนี้ เชื่อฟังดีมั้ย ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งดีมั้ย มันไม่ใช่วัวควายเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ ที่จะต้องมานั่งทนโดยไม่รู้อะไรเลย ยิ่งมีคนหัวขบถ ออกมาต่อต้าน พี่ว้ากก็ยิ่งไม่ชอบ เพราะดูจะทำให้ตัวเองมีอำนาจน้อยลง บลาๆๆ
อย่าไปยึดติดรูปแบบเดิมๆครับ เปลี่ยนมันบ้าง อะไรที่มันเก่า ก็เอามาคิดใหม่ รีโนเวทใหม่ ไม่ได้ห้ามครับ แต่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
จริงๆ รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็น่าจะเข้ามามีส่วนร่วม สร้างแนวคิด ออกไอเดียใหม่ๆให้น้องๆได้เห็น ได้เข้าใจว่าโลกเรามันไปถึงไหนอะไรยังไงบ้างแล้วครับ น่าจะช่วยได้เยอะ
....
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เหนือสิ่งอื่นใดครับ คือ การ "ตอบโต้"
โดยเฉพาะ ใน Social Network
สถานที่ซึ่งคนทั่วไปชอบคิดว่าเป็นที่ "ส่วนบุคคล" จะทำอะไรจะพูดอะไรยังไงก็ได้
มันไม่ใช่ครับ
ถ้าคุณไปคุกคาม ข่มขู่ ละเมิด หรือหมิ่นประมาทผู้อื่น เขาเอาเรื่องได้ครับ
เพราะทำให้เขาเสียหาย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
เรื่องพวกนี้ ควรต้องมีการให้ความรู้เด็กๆทุกคนอย่างทั่วถึง
ผมสังเกตุเห็นว่า เด็กประถมสมัยนี้ ก็เล่น FB , IG กันแล้ว แต่ไม่ค่อยจะมีใครสอนเรื่องมารยาทพวกนี้ให้พวกเขาได้ทราบเท่าไหร่ เกรียนไทยมันเลยเยอะครับ ถ้าเอาเรื่องกันจริงๆ ตำรวจคงได้ค่าปรับกันอีกเยอะอ่ะครับผม
เพราะงั้น ไอ้การ "แสดงความคิดเห็น" จึงต้องมีขอบเขตครับ
อาจารย์ท่านนั้น ท่านก็มีมุมมองของท่าน ต่อกิจกรรมๆหนึ่ง ซึ่งท่านก็เคารพและไม่ได้สอดแทรกไปในเนื้อหาว่า ใครผิด ใครชั่ว ใครไม่ดี ก็แสดงความเห็นไปตามที่คิด
แต่อนิจจัง เหล่าเด็กน้อยปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม กลับเอาไปคุยฟุ้งข่มทับ จะเอาพวกมากมาลากอาจารย์ไปยำมาม่า เอาให้ถึงตายกันเลยทีเดียว
และสุดท้าย ก็ออกมาบอกว่า ล้อเล่น หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะ ความเป็นเด็ก
กฏหมายไทยบอกไว้ว่า เยาวชนคืออายุไม่เกิน 18 ปี
เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คงมีส่วนน้อยครับ ที่ไม่ถึง 18 ปี
เพราะงั้น ระวางโทษเท่ากับคนปกตินะครับ
เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี
เพราะถึงแม้อาจารย์คนดังกล่าว จะบอกว่าไม่เอาเรื่อง
แต่ถ้าถามว่า ถ้าอาจารย์คนนั้นเป็นน้องสาวผมล่ะก็
เด็กๆทั้งหลาย ได้ขึ้นโรงพักกับผมแน่นอนครับ
Facebook/page/ระบายศรี
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558
สิ่งที่อยากบอกกับน้องๆนักศึกษา #1 - การฝึกนิสัยออมเงิน
ผมนั่งคิดนอนคิดมาตลอดว่า
ถ้าผมมีโอกาส ได้ไปพูดหรือบรรยายให้น้องๆนิสิตนักศึกษาสักกลุ่มนึงฟัง
ผมอยากจะพูดเรื่องอะไรที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับพวกเค้าได้บ้าง
จริงๆมันมีเรื่องราวนับร้อยนับพันที่ผมคิดว่าผมน่าจะพูดและควรพูด
แต่ถ้าให้เรียบเรียงลำดับและเริ่มจากเรื่องแรกว่าควรเป็นเรื่องอะไรดี?
คำตอบของผมคือ "การออมเงิน" ครับ
แน่นอน กว่าครึ่งของนักศึกษาที่จบออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย ก็มักจะต้องเริ่มต้นชีวิต "ผู้ใหญ่" ด้วยการทำงานประจำ เป็นลูกจ้าง กินเงินเดือน
แม้หลังจากนั้น 5 ปี 10 ปี อาจจะแตกต่างกันไป แต่ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเลยในชีวิตของพวกเราทุกคนก็คือ
"เรื่องเงิน"
มันสำคัญเป็นอันดับต้นๆของชีวิต
ถ้าอยากจะดูว่าเรื่องไหนสำคัญ ก็ให้ดูว่า เวลาหมอดูเขาดูดวง เขามักจะดูดวงเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง นั่นแหละ เรื่องสำคัญในชีวิตคนเรา
การงาน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว และ การเงิน...
และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า หากย้อนเวลาได้ ผมอยากจะกลับไปแก้ไขมันมากเป็นอันดับต้นๆของชีวิตผมคือ
"การออมเงิน" ครับ
ผมเองก็เหมือนคนทั่วๆไป วัยรุ่นส่วนใหญ่ ที่คิดว่า เงินเดือนแค่นี้ ยังไม่ต้องรีบเก็บเงินหรอก เดี๋ยวพอมีเงินเยอะๆแล้วค่อยเก็บ
ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เลยครับ
สาเหตุก็เพราะ
1. คำว่า "เดี๋ยวรอให้มีเงินเยอะกว่านี้" นั้นมันคือ "เมื่อไหร่" ใครบอกได้บ้าง ยิ่งถ้าเงินเดือนเริ่มต้น 15000 แล้วบอกว่า ถ้ามีเงินเดือนสัก 1 แสน แล้วค่อยเก็บ ถามว่า แล้วมันคือเมื่อไหร่กันล่ะ เรารู้ล่วงหน้าได้มั้ย คนบางคน ทำงานมาเป็นสิบปี ยังมีเงินเดือนไม่ถึง 5 หมื่นเลยก็เยอะ แล้วเราล่ะ แน่ใจแค่ไหนว่า จะมีเงินเดือนหรือรายรับได้ขนาดนั้น ในเวลาที่กำหนด ซึ่งเราก็ไม่ค่อยจะวางแผนมันได้เสียด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ารอให้มีเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ เชื่อเถอะครับ ส่วนมาก เวลานั้น มักมาไม่ถึง
2. ความเสี่ยง การออม มีประโยชน์อย่างแรกเลยคือ มีเงินสำรองไว้ใช้เวลาจำเป็นครับ จะรู้ได้ไงว่า ชีวิตเราจะไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพานบ้างเลย ญาติๆเรา ครอบครัวเรา จะสุขสบายหายห่วงกันทุกคน เชื่อเถอะครับ อยู่ๆไป วันนึง ก็มักจะมีเหตุให้ต้องเสียเงินเสียทองเป็นธรรมดา ยิ่งใครที่มี รถยนต์ จะรู้ได้เลยว่า มันไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมัน มันมีค่าประกันภัย ค่า พรบ. ต่อทะเบียน ใบสั่ง ซ่อมนู่นนี่นั่น และจิปาถะอีกเยอะ ยิ่งถ้าใครแต่งรถด้วยแล้ว ไม่อยากจะพูดครับ
ส่วนใครที่ไม่มีรถ ก็อย่าเพิ่งนอนใจ เพราะเรื่องอุบัติเหตุ หรือสุขภาพ มันก็มีความเสี่ยงรอบๆตัวเราทั้งนั้น ถ้าใครตระหนักได้เร็วหน่อย ก็อาจเริ่มจากประกันภัยหรือประกันชีวิต ซึ่งแน่นอน มันก็มีค่าเบี้ยที่ต้องจ่าย ส่วนมากเป็นรายปี (ไอ้ที่บอกว่าจ่ายรายเดือนได้น่ะ มีครับ แต่ส่วนใหญ่ ก็เสียดอกเบี้ย และพอรวมๆกันแล้ว มากกว่าจ่ายรายปีแน่นอน สู้เก็บออมเองทีละเดือนๆ แล้วสิ้นปี จ่ายทีเดียว ง่ายกว่าครับผม)
3. ที่สำคัญที่สุด คือ "การฝึกนิสัย" ครับ เชื่อมั้ยครับ นิสัยต่างๆนั้น ฝึกได้ ถ้าเราทำมันซ้ำๆจนชิน เป็นกิจวัตร และยิ่งทำซ้ำๆ มันจะเกิดทักษะ ทำให้เราทำได้ดีขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ซึ่งการออมเงิน ก็เป็น "นิสัย" หนึ่ง คนที่ทำเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าจะทำได้ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ทำเลย ก็แน่นอนครับ ปลายทางมันจะแตกต่างกันสุดๆ กับคนที่ทำ
4. ข้อสุดท้าย คือ "ปลายทาง" ครับ รู้มั้ยครับ ว่า ถ้าเราเริ่มออมตอนนี้ เร็วขึ้นกว่าเดิมปีนึง หลังจากเราออมได้ 20 หรือ 30 ปี มันจะกลายเป็นเงินเท่าไหร่
รู้จัก "ดอกเบี้ยทบต้น" มั้ยครับ สิ่งที่ไอน์สไตน์ บอกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างของโลก ใช่ครับ อำนาจของมันมหาศาล ถ้าเราคำนวณด้วยสูตร Excel เป็น เราแค่คำนวณให้เงินต้นเราเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 10% รู้มั้ยครับ ว่าผ่านไป 30 ปี เราจะมีเงินมากกว่าเดิมกี่เท่า
17 เท่าครับ จากเงินต้น 5000 บาท จะกลายเป็น 87000 บาท นี่ในกรณีที่เราไม่ได้ออมเพิ่มเลยนะครับ
และถ้าเราออมเพิ่มทุกปีๆละเท่าๆกันที่ 5000 บาท หลังจาก 30 ปี จะมีเงินรวมทั้งสิ้น 9.9 แสนบาทครับ คิดเป็น 6 เท่าของเงินฝากของเราทั้งหมด
แล้วถ้าเราออมเพิ่มจากปีละ 5000 เป็นเดือนละ 1000 เท่ากัน 12 เดือน กลายเป็น 1 ปี ออมได้ 12000 บาทล่ะครับ
หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 2.2 ล้านครับ
และถ้าเราเอาเงินจาก โบนัส เพิ่มไปอีก 1 หมื่นบาท ทุกๆสิ้นปี กลายเป็นออมได้ปีละ 22000 บาทล่ะก็
หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 4 ล้านบาท ครับ
ซึ่งถ้าเราเลือกออมในกองทุ้นที่มีผลตอบแทนคงที่หรือมีความเสี่ยงต่ำแล้วล่ะก็ ตัวเลขพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเท่าไหร่นัก มีเงิน 4 ล้าน ย่อมดีกว่าไม่มี ถูกมั้ยครับ และ 10% ที่ผมยกมา ก็เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น ซึ่ง จริงๆแล้ว มันจะไปอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" มากกว่า การออม
จริงๆการออมมันช่วยเรื่อง "ฉุกเฉิน" มากกว่าเรื่อง "ผลตอบแทน" ครับ
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ข้อ 3 ครับ การฝึก "นิสัย" ที่จำเป็น สำคัญมากๆ ที่เราต้องฝึกมัน
เด็กๆหลายๆคนมองว่า สิ่งที่เราควรฝึก คือเรื่อง "งาน" มันก็ไม่ผิด แต่ต้องอย่าลืมครับ คนส่วนมาก ไม่ได้คิดว่าอยากจะทำงานไปจนตาย วันหนึ่ง ก็อยากจะไปทำอย่างอื่น และไอ้อย่างอื่นนั้นน่ะ มันคืออะไรล่ะครับ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก ถ้ามันมี มันก็ดี แต่ไอ้สิ่งที่รักนั้นน่ะ สร้างรายได้ให้เราเพิ่มขึ้นได้บ้างหรือเปล่า
ถ้าไม่ เราจะทำมันต่อมั้ย
หรือจะฝึกมันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสร้างรายได้ให้เราได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเราพอใจ และวันหนึ่ง เราอาจมีรายได้จากงานประจำ และรายได้จากงานไม่ประจำ พอๆกัน เราอาจจะเก็บเงินได้มากขึ้น ศึกษาเรื่องเงินเก็บและการลงทุนได้มากขึ้น จนวางแผนระยะยาวให้ชีวิตเราได้ดีขึ้น
ถามหน่อยครับ ทำงานแล้ว อยากซื้อบ้านไหม อยากมีรถไหม อยากมีครอบครัว อยากแต่งงานไหม อยากมีลูกไหม ทุกสิ่งอย่างมันใช้เงินหมดครับ
แต่เราเองนั่นแหละ ที่คิดว่า เดี๋ยวพอจะเอา จะทำ มันก็จะมีเงินไหลมาเอง
ลองคิดดูให้ดีๆครับ มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า พอเราไม่มีเงิน ก็ต้องไปหายืมจากครอบครัว คนรู้จัก หนักๆหน่อยก็สถาบันการเงิน พวกบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต พวกนี้ ดอกเบี้ยหนักมากๆครับ
จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีเงินสักก้อน ที่สามารถรองรับ สำหรับแผนการณ์ในอนาคตได้ดีกว่าที่เป็น
ซึ่งนั่น คือวัตถุประสงค์ของเงินออมครับผม
ออมกันเสียแต่วันนี้ครับ
สร้าง "นิสัย" ที่ก่อให้เกิด "ตัวเงิน"
ตอนนี้ ไม่มีเงิน ก็มี "นิสัย" ที่ดีก่อน
ดีกว่า ไม่สร้างอะไรเลย และก็ไม่มีอะไรเลย ในท้ายที่สุดครับ
ถ้าผมมีโอกาส ได้ไปพูดหรือบรรยายให้น้องๆนิสิตนักศึกษาสักกลุ่มนึงฟัง
ผมอยากจะพูดเรื่องอะไรที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับพวกเค้าได้บ้าง
จริงๆมันมีเรื่องราวนับร้อยนับพันที่ผมคิดว่าผมน่าจะพูดและควรพูด
แต่ถ้าให้เรียบเรียงลำดับและเริ่มจากเรื่องแรกว่าควรเป็นเรื่องอะไรดี?
คำตอบของผมคือ "การออมเงิน" ครับ
แน่นอน กว่าครึ่งของนักศึกษาที่จบออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย ก็มักจะต้องเริ่มต้นชีวิต "ผู้ใหญ่" ด้วยการทำงานประจำ เป็นลูกจ้าง กินเงินเดือน
แม้หลังจากนั้น 5 ปี 10 ปี อาจจะแตกต่างกันไป แต่ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเลยในชีวิตของพวกเราทุกคนก็คือ
"เรื่องเงิน"
มันสำคัญเป็นอันดับต้นๆของชีวิต
ถ้าอยากจะดูว่าเรื่องไหนสำคัญ ก็ให้ดูว่า เวลาหมอดูเขาดูดวง เขามักจะดูดวงเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง นั่นแหละ เรื่องสำคัญในชีวิตคนเรา
การงาน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว และ การเงิน...
และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า หากย้อนเวลาได้ ผมอยากจะกลับไปแก้ไขมันมากเป็นอันดับต้นๆของชีวิตผมคือ
"การออมเงิน" ครับ
ผมเองก็เหมือนคนทั่วๆไป วัยรุ่นส่วนใหญ่ ที่คิดว่า เงินเดือนแค่นี้ ยังไม่ต้องรีบเก็บเงินหรอก เดี๋ยวพอมีเงินเยอะๆแล้วค่อยเก็บ
ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เลยครับ
สาเหตุก็เพราะ
1. คำว่า "เดี๋ยวรอให้มีเงินเยอะกว่านี้" นั้นมันคือ "เมื่อไหร่" ใครบอกได้บ้าง ยิ่งถ้าเงินเดือนเริ่มต้น 15000 แล้วบอกว่า ถ้ามีเงินเดือนสัก 1 แสน แล้วค่อยเก็บ ถามว่า แล้วมันคือเมื่อไหร่กันล่ะ เรารู้ล่วงหน้าได้มั้ย คนบางคน ทำงานมาเป็นสิบปี ยังมีเงินเดือนไม่ถึง 5 หมื่นเลยก็เยอะ แล้วเราล่ะ แน่ใจแค่ไหนว่า จะมีเงินเดือนหรือรายรับได้ขนาดนั้น ในเวลาที่กำหนด ซึ่งเราก็ไม่ค่อยจะวางแผนมันได้เสียด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ารอให้มีเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ เชื่อเถอะครับ ส่วนมาก เวลานั้น มักมาไม่ถึง
2. ความเสี่ยง การออม มีประโยชน์อย่างแรกเลยคือ มีเงินสำรองไว้ใช้เวลาจำเป็นครับ จะรู้ได้ไงว่า ชีวิตเราจะไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพานบ้างเลย ญาติๆเรา ครอบครัวเรา จะสุขสบายหายห่วงกันทุกคน เชื่อเถอะครับ อยู่ๆไป วันนึง ก็มักจะมีเหตุให้ต้องเสียเงินเสียทองเป็นธรรมดา ยิ่งใครที่มี รถยนต์ จะรู้ได้เลยว่า มันไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมัน มันมีค่าประกันภัย ค่า พรบ. ต่อทะเบียน ใบสั่ง ซ่อมนู่นนี่นั่น และจิปาถะอีกเยอะ ยิ่งถ้าใครแต่งรถด้วยแล้ว ไม่อยากจะพูดครับ
ส่วนใครที่ไม่มีรถ ก็อย่าเพิ่งนอนใจ เพราะเรื่องอุบัติเหตุ หรือสุขภาพ มันก็มีความเสี่ยงรอบๆตัวเราทั้งนั้น ถ้าใครตระหนักได้เร็วหน่อย ก็อาจเริ่มจากประกันภัยหรือประกันชีวิต ซึ่งแน่นอน มันก็มีค่าเบี้ยที่ต้องจ่าย ส่วนมากเป็นรายปี (ไอ้ที่บอกว่าจ่ายรายเดือนได้น่ะ มีครับ แต่ส่วนใหญ่ ก็เสียดอกเบี้ย และพอรวมๆกันแล้ว มากกว่าจ่ายรายปีแน่นอน สู้เก็บออมเองทีละเดือนๆ แล้วสิ้นปี จ่ายทีเดียว ง่ายกว่าครับผม)
3. ที่สำคัญที่สุด คือ "การฝึกนิสัย" ครับ เชื่อมั้ยครับ นิสัยต่างๆนั้น ฝึกได้ ถ้าเราทำมันซ้ำๆจนชิน เป็นกิจวัตร และยิ่งทำซ้ำๆ มันจะเกิดทักษะ ทำให้เราทำได้ดีขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ซึ่งการออมเงิน ก็เป็น "นิสัย" หนึ่ง คนที่ทำเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าจะทำได้ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ทำเลย ก็แน่นอนครับ ปลายทางมันจะแตกต่างกันสุดๆ กับคนที่ทำ
4. ข้อสุดท้าย คือ "ปลายทาง" ครับ รู้มั้ยครับ ว่า ถ้าเราเริ่มออมตอนนี้ เร็วขึ้นกว่าเดิมปีนึง หลังจากเราออมได้ 20 หรือ 30 ปี มันจะกลายเป็นเงินเท่าไหร่
รู้จัก "ดอกเบี้ยทบต้น" มั้ยครับ สิ่งที่ไอน์สไตน์ บอกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างของโลก ใช่ครับ อำนาจของมันมหาศาล ถ้าเราคำนวณด้วยสูตร Excel เป็น เราแค่คำนวณให้เงินต้นเราเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 10% รู้มั้ยครับ ว่าผ่านไป 30 ปี เราจะมีเงินมากกว่าเดิมกี่เท่า
17 เท่าครับ จากเงินต้น 5000 บาท จะกลายเป็น 87000 บาท นี่ในกรณีที่เราไม่ได้ออมเพิ่มเลยนะครับ
และถ้าเราออมเพิ่มทุกปีๆละเท่าๆกันที่ 5000 บาท หลังจาก 30 ปี จะมีเงินรวมทั้งสิ้น 9.9 แสนบาทครับ คิดเป็น 6 เท่าของเงินฝากของเราทั้งหมด
แล้วถ้าเราออมเพิ่มจากปีละ 5000 เป็นเดือนละ 1000 เท่ากัน 12 เดือน กลายเป็น 1 ปี ออมได้ 12000 บาทล่ะครับ
หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 2.2 ล้านครับ
และถ้าเราเอาเงินจาก โบนัส เพิ่มไปอีก 1 หมื่นบาท ทุกๆสิ้นปี กลายเป็นออมได้ปีละ 22000 บาทล่ะก็
หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 4 ล้านบาท ครับ
ซึ่งถ้าเราเลือกออมในกองทุ้นที่มีผลตอบแทนคงที่หรือมีความเสี่ยงต่ำแล้วล่ะก็ ตัวเลขพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเท่าไหร่นัก มีเงิน 4 ล้าน ย่อมดีกว่าไม่มี ถูกมั้ยครับ และ 10% ที่ผมยกมา ก็เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น ซึ่ง จริงๆแล้ว มันจะไปอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" มากกว่า การออม
จริงๆการออมมันช่วยเรื่อง "ฉุกเฉิน" มากกว่าเรื่อง "ผลตอบแทน" ครับ
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ข้อ 3 ครับ การฝึก "นิสัย" ที่จำเป็น สำคัญมากๆ ที่เราต้องฝึกมัน
เด็กๆหลายๆคนมองว่า สิ่งที่เราควรฝึก คือเรื่อง "งาน" มันก็ไม่ผิด แต่ต้องอย่าลืมครับ คนส่วนมาก ไม่ได้คิดว่าอยากจะทำงานไปจนตาย วันหนึ่ง ก็อยากจะไปทำอย่างอื่น และไอ้อย่างอื่นนั้นน่ะ มันคืออะไรล่ะครับ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก ถ้ามันมี มันก็ดี แต่ไอ้สิ่งที่รักนั้นน่ะ สร้างรายได้ให้เราเพิ่มขึ้นได้บ้างหรือเปล่า
ถ้าไม่ เราจะทำมันต่อมั้ย
หรือจะฝึกมันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสร้างรายได้ให้เราได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเราพอใจ และวันหนึ่ง เราอาจมีรายได้จากงานประจำ และรายได้จากงานไม่ประจำ พอๆกัน เราอาจจะเก็บเงินได้มากขึ้น ศึกษาเรื่องเงินเก็บและการลงทุนได้มากขึ้น จนวางแผนระยะยาวให้ชีวิตเราได้ดีขึ้น
ถามหน่อยครับ ทำงานแล้ว อยากซื้อบ้านไหม อยากมีรถไหม อยากมีครอบครัว อยากแต่งงานไหม อยากมีลูกไหม ทุกสิ่งอย่างมันใช้เงินหมดครับ
แต่เราเองนั่นแหละ ที่คิดว่า เดี๋ยวพอจะเอา จะทำ มันก็จะมีเงินไหลมาเอง
ลองคิดดูให้ดีๆครับ มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า พอเราไม่มีเงิน ก็ต้องไปหายืมจากครอบครัว คนรู้จัก หนักๆหน่อยก็สถาบันการเงิน พวกบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต พวกนี้ ดอกเบี้ยหนักมากๆครับ
จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีเงินสักก้อน ที่สามารถรองรับ สำหรับแผนการณ์ในอนาคตได้ดีกว่าที่เป็น
ซึ่งนั่น คือวัตถุประสงค์ของเงินออมครับผม
ออมกันเสียแต่วันนี้ครับ
สร้าง "นิสัย" ที่ก่อให้เกิด "ตัวเงิน"
ตอนนี้ ไม่มีเงิน ก็มี "นิสัย" ที่ดีก่อน
ดีกว่า ไม่สร้างอะไรเลย และก็ไม่มีอะไรเลย ในท้ายที่สุดครับ
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ควัน(ระเบิด)หลง... หลังเหตุการณ์ราชประสงค์ ตามจับคนร้ายให้ได้นะครับ
ข่าวล่าผ่านพ้นไป การวางระเบิดที่ราชประสงค์
ก่อให้เกิดผู้เสียชีวิต 20 ศพ
บาดเจ็บอีก เกือบร้อย
ตอนนี้หลายๆฝ่ายก็กำลังตามหาตัวผู้กระทำผิดอยู่
มีรางวัลนำจับให้ 1 ล้านจากรัฐบาล และ จาก นปช.อีก 2 ล้าน
ใครแจ้งเบาะแสได้ ก็เรียกได้ว่ารวยไปเลยทีเดียว
ยังมีผู้ต้องสงสัยอีก 2 คน ใส่เสื้อแดงกับขาว ที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง
ก็ตามหาตัวกันต่อไป
เมื่อวาน เล่นเอาผมหมดเรี่ยวหมดแรงทำงานกันไปเลยทีเดียว
หดหู่ทั้งวันอ่ะ กับเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ
จะว่าไป มันดันตรงกับวันเกิดเพื่อนสนิทผมคนนึงด้วยเลยพอดี 18 สค.
คงจะจำได้ไปอีกหลายปีล่ะนะ
เหมือนวันเกิดผมเหมือนกัน 11 มีค. เกิดซึนามิที่ญี่ปุ่น
จำได้ว่าปีนั้น ญี่ปุ่นน่าสงสารมาก
แต่ภัยธรมมชาติ กับภัยจากวินาศกรรม มันให้ความรู้สึกสูญเสียคนละอารมณ์กันเลยนะ
เวลาที่ฆาตกรเป็น "มนุษย์" กับ เป็น "ธรรมชาติ" เนี่ย ความรู้สึกของคนที่อยู๋ข้างหลังนี่ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ เราคงไม่สามารถพูดได้ว่า จะหาอะไรมาทดแทนกับความสูญเสียที่เราได้รับได้บ้าง
คงไม่มี
ยิ่งถ้าผู้ที่จากไป เป็นคนอันเป็นที่รัก เป็นคนดี เป็นอนาคตของครอบครัว ของสังคม ของชาติ
คงยิ่งรู้สึกสูญเสียเป็นร้อยเท่าพันทวี
ขอให้จับคนร้ายได้โดยเร็วนะครับ
ก่อให้เกิดผู้เสียชีวิต 20 ศพ
บาดเจ็บอีก เกือบร้อย
ตอนนี้หลายๆฝ่ายก็กำลังตามหาตัวผู้กระทำผิดอยู่
มีรางวัลนำจับให้ 1 ล้านจากรัฐบาล และ จาก นปช.อีก 2 ล้าน
ใครแจ้งเบาะแสได้ ก็เรียกได้ว่ารวยไปเลยทีเดียว
ยังมีผู้ต้องสงสัยอีก 2 คน ใส่เสื้อแดงกับขาว ที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง
ก็ตามหาตัวกันต่อไป
เมื่อวาน เล่นเอาผมหมดเรี่ยวหมดแรงทำงานกันไปเลยทีเดียว
หดหู่ทั้งวันอ่ะ กับเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ
จะว่าไป มันดันตรงกับวันเกิดเพื่อนสนิทผมคนนึงด้วยเลยพอดี 18 สค.
คงจะจำได้ไปอีกหลายปีล่ะนะ
เหมือนวันเกิดผมเหมือนกัน 11 มีค. เกิดซึนามิที่ญี่ปุ่น
จำได้ว่าปีนั้น ญี่ปุ่นน่าสงสารมาก
แต่ภัยธรมมชาติ กับภัยจากวินาศกรรม มันให้ความรู้สึกสูญเสียคนละอารมณ์กันเลยนะ
เวลาที่ฆาตกรเป็น "มนุษย์" กับ เป็น "ธรรมชาติ" เนี่ย ความรู้สึกของคนที่อยู๋ข้างหลังนี่ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ เราคงไม่สามารถพูดได้ว่า จะหาอะไรมาทดแทนกับความสูญเสียที่เราได้รับได้บ้าง
คงไม่มี
ยิ่งถ้าผู้ที่จากไป เป็นคนอันเป็นที่รัก เป็นคนดี เป็นอนาคตของครอบครัว ของสังคม ของชาติ
คงยิ่งรู้สึกสูญเสียเป็นร้อยเท่าพันทวี
ขอให้จับคนร้ายได้โดยเร็วนะครับ
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558
จิตสำนึกความปลอดภัยในองค์กร กับ ความสามารถด้านบริหารจัดการของตำรวจจราจร
หัวเรื่องเหมือนจะเกี่ยวกันนะ แต่รายละเอียดผมว่าค่อนข้างจะห่างกันพอดู
เรื่องแรก จิตสำนึกในองค์กรผม จากผู้บริหารแผนกความปลอดภัย ที่มีแนวคิดเรื่องการลดความเสี่ยงและอันตรายในการทำงาน โดยการให้เจ้าหน้าที่หลายๆคน ไปยืนดักที่ทางเข้าออกของพนักงาน แล้วตรวจสอบพนักงานที่ไม่สวมหมวกกันน็อคตอนขับขี่จักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์
ผมว่า แรกๆมันก็ดีอ่ะนะ
แต่ทำมาได้สักพัก มานั่งคิด "ประโยชน์มันคืออะไรอ่ะ?" แล้ว "ทำไปเพื่ออะไร?"
คำถามเหล่านี้ผมไม่เคยได้คำตอบ
ยิ่งก่อนหน้านี้ (จนถึงตอนนี้ก็ยังทำอยู่) มีกิจกรรมที่ให้ผู้บริหารทั้งคนไทยและญี่ปุ่น ไปยืนใส่สายสะพายเหมือนนางงาม เขียนว่า "Safety First" แล้วก็กล่าวทักทายพนักงานที่เดินเข้ามาในบริษัท เพื่อเพิ่ม "จิตสำนึกด้านความปลอดภัย" ให้กับพนักงาน
แรกๆผมก็ว่าโอเคนะ เป็นสีสันดี
แต่พอทำไปสักพัก
เฮ้ย มันมีประโยชน์มั้ยเนี่ย ทำแล้ว อุบัติเหตุลดลงเหรอ? หรือยังไง? ผลดีมันคืออะไร ทำแล้วได้อะไร ใครประเมินผลลัพธ์หรือผลตอบแทนมันได้บ้างเนี่ย?
ผมมีคำถามอีกเยอะแยะมากมายที่อยากให้มีใครสักคนมาตอบผมบ้าง
แต่ก็แน่นอนล่ะ
ไม่มีใครตอบได้
ดูเหมือนว่า การทำอะไรหลายๆอย่างที่บริษัทผมนี้ จะทำไปเพียงเพื่อให้ "คนเห็นว่าทำ" ส่วนผลลัพธ์ จะประเมินมันได้หรือไม่ ถ้าเป็นเรื่อง Safety นั้น ไม่จำเป็น
เอาสิ
เอากะเขา
ส่วนเรื่องการจราจร
ที่อยากบ่นนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
เมื่อเช้า ขับรถมาทำงาน
ออกเวลาเดิม รู้ว่าไม่สายแน่ๆ
แต่ก็เจอรถติดแบบมหาประลัย
ไฟแดงแต่ละแยกนี่ นานมากๆ
เลยรู้เลยว่า การบริการจราจรของตำรวจไทยนั้น ไม่เหมือนต่างประเทศ
ที่จะมีศูนย์ควบคุมจัดการการจราจรบนท้องถนนในแต่ละเขตอย่างชัดเจน มีกล้องวงจรปิด และกล้องจากดาวเทียม ที่จะบอกว่า อัตรารถในแต่ละช่องทางและทิศทางนั้นมีมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร ช่องไหนควรเพิ่มเวลาให้กี่วินาที ช่องไหนควรลด
ซึ่งที่ไทยนั้นไม่มีครับ
หลายๆทางแยก ผมเห็นไฟแดงที่ปล่อยให้รถน้อยๆวิ่งกัน แต่รถเยอะๆหยุดรอหลายนาทีมากๆ
ผมติดไฟแดงที่ไม่น่าติด 2 จุด จุดละเกือบ 10 นาที
โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมตู้ป้อมตำรวจตรงสี่แยกถึงปล่อยเวลาอย่างไม่เป็นมาตราฐานแบบนี้ได้
รถติดแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ปลายทางของรถติด อยู่ตรงไหน ไม่มีใครเห็น
ผมเลยเริ่มรู้สึกได้เรื่อยๆแหละว่า เวลาที่เราเห็นรถติดแล้วมีตำรวจมาโบกให้ตรงสี่แยกน่ะ จริงๆตำรวจไม่ได้มาช่วยนะ แต่ผมว่า มาทำให้รถติดหรือเปล่า อันนี้น่าสงสัยจริงๆครับ
เพราะตำรวจที่โบกรถตรงสี่แยกนั้น ก็ไม่สามารถเห็นได้ว่า ปลายหางของขบวนรถในแต่ละช่องทางนั้นอยู่ไกลออกไปแค่ไหนแล้ว เห็นว่ารถมี ก็โบกให้ไปต่อ ส่วนทางที่รอ ก็รอต่อไป ทำไม ในต่างประเทศ ผมเห็นตำรวจ จะออกมาโบกรถก็ต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทำให้การสัญจรติดขัดเท่านั้น
แต่เมืองไทย พอรถเยอะเข้าหน่อย ตำรวจต้องออกมาโบกรถเองละ อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆครับ
ในเมื่อรถไม่มีชนกัน ถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ก็น่าจะไม่ทำให้รถติดมาก หรือถ้าจะติดจริงๆ ก็ต้องติดพอๆกัน เท่าๆกันหรือเปล่า
อันนี้ไม่มีความรู้ครับ สังเกตุเอาล้วนๆ
รู้แค่อย่างเดียว
ประเทศไทย คำนวนเวลาในการขับรถจริงๆจังๆไม่ได้หรอกครับ
เพราะไฟแดงมันใช้คนกด ไม่ได้ใช้โปรแกรมนี่นา เนอะ...
Bike for Mom... ปั่นเพื่อแม่....
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 17 สค.
เมื่อวานนี้มีกิจกรรม Bike for Mum
มหกรรมปั่นจักรยานเพื่อสนองคุณแม่
ถนนเส้นหลักของจังหวัดชลบุรีอย่างสุขุมวิทและเชื่อว่าถนนเส้นหลักของอีกหลายๆจังหวัด ก็น่าจะเจอปัญหาเดียวกัน
คือ "รถติดมหาบรรลัย"
จะให้ผมพูดว่าไงดี
ในมุมหนึ่ง การปั่นจักรยาน นั้น มีประโยชน์แน่ๆครับ ได้ออกกำลังกาย
และยิ่งเอาไปผูกกับเรื่อง "ความกตัญญูรู้คุณแม่" กับ "ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์" นั้น ยิ่งทำให้เกิดกระแสเชิงบวก ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมากมาเข้าร่วมกิจกรรม ก่อให้เกิดกระแสการปั่นจักรยานเป็นหมู่คณะที่สร้างสถิติใหม่ให้กับกินเนสบุ๊คเวิร์ลด์เร็คคอร์ด
ส่วนข้อเสียนั้น.... หุๆๆ
เกินจะบรรยายครับ
อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือ
"รถติด" การคมนาคมที่เป็นอัมพาตแทบจะตลอดทั้งวัน ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อภาคเอกชนที่จำเป็นต้องมีการขนส่ง การคมนาคมและการเคลื่อนไหวทางถนนนั้นแทบจะหนักหน่วงตลอดทั้งวัน
จริงๆผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องรถติด
แต่ที่ผมไม่ค่อยจะชอบเลยคือ
ภาครัฐ น่าจะจัดการเตรียมความพร้อมและประเมินผลได้ผลเสียต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาพรวมได้มากกว่านี้
ผมไม่รู้ว่าจังหวัดอื่นเป็นอย่างไร
แต่เท่าที่เห็น ชลบุรีนั้นก็เป็นอีกจังหวัดที่มีการปั่นจักรยานกันเยอะมากๆ และรถก็ติดมากๆด้วยเช่นกัน
ถ้าใครขนส่งสินค้าไม่ทันก็คงจะเอาไปอ้างกับลูกค้าได้ไม่ยากว่า รถติดเพราะอะไร
แต่ที่ผมเป็นกังวลก็คือ "อุบัติเหตุ" กับ "เรื่องฉุกเฉิน"
จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีรายงานเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดจากการปั่นจักรยานบนถนนของผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า มันไม่มีจริงๆจน "อุบัติเหตุเป็น 0" หรือไม่มีใครมานำเสนอแง่มุมนั้นเลยกันแน่
สื่อไม่น่าชอบอะไรพวกนี้ เพราะทำมาก็คงมีแต่คนด่า
แต่ผมว่า น่าจะมีสักที่ที่กล้าตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้เห็นถึงอีกด้านของเหรียญอย่างชัดเจนจริงๆ
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่รถติดกระจุยกระจายขนาดนี้
ถ้ามีพ่อใครแม่ใคร เกิดหัวใจวาย และต้องการให้รถขับไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนล่ะก็ มันจะมีปัญหาหรือเปล่า การขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น แค่ไม่กี่วินาทีก็ส่งผลต่อชีวิตได้อย่างมากมายมหาศาล อันนี้ผมไม่รู้ว่า มีกี่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์รถติดมหาวินาศในวันนี้บ้าง
ส่วนเรื่องที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดกับเรื่องนี้ก็คือ
หน่วยงานรัฐ(หรือเอกชน) บางแห่ง ใช้โอกาสนี้ในการกำจัด "สุนัขและแมวจรจัด" ที่หากินอยู่ตามข้างถนน จับไปประเวศน์บ้าง จับไปทิ้งที่อื่นบ้าง
อันนี้ผมไม่รู้จริงๆว่า จะทำไปทำไม โอเคล่ะ ถ้าไม่ตอแหลมาก ก็เข้าใจได้ว่า คงต้องการสร้าง "ทัศนียภาพที่ดี" ให้เกิดกับผู้คนที่มาเข้าร่วมกิจกรรม
แต่ถ้ามองในมุมผม การจับหมาแมวจรจัดไปปล่อยที่ประเวศ ก็เหมือนจับมันไปทรมานอ่ะ
เคยเห็นภาพของหมาที่นั่นกันมั้ยครับ?
สุดยอดแห่งความน่าหดหู่แล้ว
หมาถูกขังกรง ไม่ปล่อยให้ออกมาวิ่ง อาหารได้ครบทุกมื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่แย่ที่สุดคือ หมาป่วย ไม่มีการดูแล ปล่อยให้ตายคากรง และไม่เอาศพออกมาด้วย ปล่อยให้เน่าอยู่ในกรงรวมกับหมาที่ยังมีชีวิตตัวอื่นๆอยู่อย่างนั้น
แววตาของพวกมันที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นน่าเวทนายิ่งกว่า
ไม่อยากจะยกหัวขึ้นมาดูอะไรทั้งสิ้น สิ่งต่างๆในชีวิตเลือนหายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาดูแล ไม่มีโอกาสได้ออกไปใน ชีวิตที่เหลือถูกหมกเน่าอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมแคบๆที่ต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนหมาไร้วิญญาณอีกหลายตัว
ภาพนั้นยังติดตาผมอยู่เลย
ถ้าผมมีตังค์ ถ้าผมรวย
ผมจะเอาพวกมันออกมาให้หมด เอามาเลี้ยงเอง อย่างน้อย ถ้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตหรือตายตามยถากรรม ก็ปล่อยให้มันได้เดินเองได้ วิ่งเองได้ คงจะดีกว่า
ไม่เข้าใจว่า ทำไม มนุษย์เรา ต้องไปทำอะไรแบบนั้นกับสัตว์ที่ไม่ได้เป็นพิษภัยกับเราด้วย
หรือแค่ว่า เพราะมันไม่ใช่มนุษย์ ก็เลยไม่มีสิทธิ์จะมีเสรีภาพเหมือนเราๆ
อันนี้ถกกันยาวครับ ประเด็นนี้ ผมพวกอ่อนไหวกับเรื่องหมาๆอยู่แล้วด้วย
กลับมาเรื่อง Bike กันต่อ
โอเคครับ
ผมไม่ได้ว่ากิจกรรมมันไม่ดี
แนวคิดมันดีครับ มันน่าสนใจและน่าร่วมด้วย
แต่
ผมอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง ตีโจทย์ในขั้นตอนกระบวนการทำงานหน้างานจริงให้ดีกว่านี้หน่อยครับ
การปั่นจักรยานเป็นหมู่คณะ ไม่น่าทำให้รถติดมหาศาลได้มากขนาดนี้ ตำรวจหรือผู้เกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนร่วมหรือวางแผนงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับภาคจราจรได้ดีกว่านี้นะครับ
แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าตำรวจหลายๆคนก็ไม่ได้อยากจะมาจัดงานนี้หรือ support งานที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย แต่คงขัดไม่ได้ ก็มีเยอะ
ปั่นไปน่ะดีครับ
แต่ผมไม่อยากให้ลืมจุดหมายของกิจกรรมวันนี้ ในเดือนแห่งวันแม่นี้เท่าไหร่
"ทดแทนคุณแม่" อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นลูกตัวอย่างนะครับ
แต่ ถ้าใครที่ไม่สะดวกปั่นจักรยาน ก็อยู่บ้าน ทำกับข้าวกับแม่ ทำให้แม่กิน หรือทำความสะอาดบ้านให้แม่ก็ได้นะครับ รวมไปถึงบีบนวดแข้งขาให้แม่ ผมก็ว่า น่ารักไม่แพ้กัน
ขณะที่ลูกบางคน จะปั่นเพื่อแม่ ก็ต้องมาขอตังค์แม่ไปซื้อจักรยานใหม่ ซื้อชุดปั่น ซื้อหมวกกันน็อค หรือแม้แต่ซื้อเสื้อสีฟ้า ที่ผมไม่รู้ว่า กำไรมันเข้ากระเป๋าใครไปบ้าง แต่ก็เอาเหอะ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ขาย แต่อยากให้ทุกคนไม่ลืมว่า
"ทำเพื่อแม่" น่ะ มันไม่ได้มีแค่ "ปั่นจักรยาน" นะครับ
ส่วนที่เหลือ ถ้าใครที่ชอบการทำเพื่อการกุศล ทำเพื่อเทิดทูนพระบารมี หรือมีเป้าหมายเชิงกุศลต่างๆ ก็แล้วแต่สะดวกนะครับ เชื่อว่า เจตนาดี ก็คงจะเพียงพอ
สำหรับประเทศนี้นะครับ
เมื่อวานนี้มีกิจกรรม Bike for Mum
มหกรรมปั่นจักรยานเพื่อสนองคุณแม่
ถนนเส้นหลักของจังหวัดชลบุรีอย่างสุขุมวิทและเชื่อว่าถนนเส้นหลักของอีกหลายๆจังหวัด ก็น่าจะเจอปัญหาเดียวกัน
คือ "รถติดมหาบรรลัย"
จะให้ผมพูดว่าไงดี
ในมุมหนึ่ง การปั่นจักรยาน นั้น มีประโยชน์แน่ๆครับ ได้ออกกำลังกาย
และยิ่งเอาไปผูกกับเรื่อง "ความกตัญญูรู้คุณแม่" กับ "ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์" นั้น ยิ่งทำให้เกิดกระแสเชิงบวก ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมากมาเข้าร่วมกิจกรรม ก่อให้เกิดกระแสการปั่นจักรยานเป็นหมู่คณะที่สร้างสถิติใหม่ให้กับกินเนสบุ๊คเวิร์ลด์เร็คคอร์ด
ส่วนข้อเสียนั้น.... หุๆๆ
เกินจะบรรยายครับ
อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือ
"รถติด" การคมนาคมที่เป็นอัมพาตแทบจะตลอดทั้งวัน ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อภาคเอกชนที่จำเป็นต้องมีการขนส่ง การคมนาคมและการเคลื่อนไหวทางถนนนั้นแทบจะหนักหน่วงตลอดทั้งวัน
จริงๆผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องรถติด
แต่ที่ผมไม่ค่อยจะชอบเลยคือ
ภาครัฐ น่าจะจัดการเตรียมความพร้อมและประเมินผลได้ผลเสียต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาพรวมได้มากกว่านี้
ผมไม่รู้ว่าจังหวัดอื่นเป็นอย่างไร
แต่เท่าที่เห็น ชลบุรีนั้นก็เป็นอีกจังหวัดที่มีการปั่นจักรยานกันเยอะมากๆ และรถก็ติดมากๆด้วยเช่นกัน
ถ้าใครขนส่งสินค้าไม่ทันก็คงจะเอาไปอ้างกับลูกค้าได้ไม่ยากว่า รถติดเพราะอะไร
แต่ที่ผมเป็นกังวลก็คือ "อุบัติเหตุ" กับ "เรื่องฉุกเฉิน"
จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีรายงานเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดจากการปั่นจักรยานบนถนนของผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า มันไม่มีจริงๆจน "อุบัติเหตุเป็น 0" หรือไม่มีใครมานำเสนอแง่มุมนั้นเลยกันแน่
สื่อไม่น่าชอบอะไรพวกนี้ เพราะทำมาก็คงมีแต่คนด่า
แต่ผมว่า น่าจะมีสักที่ที่กล้าตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้เห็นถึงอีกด้านของเหรียญอย่างชัดเจนจริงๆ
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่รถติดกระจุยกระจายขนาดนี้
ถ้ามีพ่อใครแม่ใคร เกิดหัวใจวาย และต้องการให้รถขับไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนล่ะก็ มันจะมีปัญหาหรือเปล่า การขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น แค่ไม่กี่วินาทีก็ส่งผลต่อชีวิตได้อย่างมากมายมหาศาล อันนี้ผมไม่รู้ว่า มีกี่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์รถติดมหาวินาศในวันนี้บ้าง
ส่วนเรื่องที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดกับเรื่องนี้ก็คือ
หน่วยงานรัฐ(หรือเอกชน) บางแห่ง ใช้โอกาสนี้ในการกำจัด "สุนัขและแมวจรจัด" ที่หากินอยู่ตามข้างถนน จับไปประเวศน์บ้าง จับไปทิ้งที่อื่นบ้าง
อันนี้ผมไม่รู้จริงๆว่า จะทำไปทำไม โอเคล่ะ ถ้าไม่ตอแหลมาก ก็เข้าใจได้ว่า คงต้องการสร้าง "ทัศนียภาพที่ดี" ให้เกิดกับผู้คนที่มาเข้าร่วมกิจกรรม
แต่ถ้ามองในมุมผม การจับหมาแมวจรจัดไปปล่อยที่ประเวศ ก็เหมือนจับมันไปทรมานอ่ะ
เคยเห็นภาพของหมาที่นั่นกันมั้ยครับ?
สุดยอดแห่งความน่าหดหู่แล้ว
หมาถูกขังกรง ไม่ปล่อยให้ออกมาวิ่ง อาหารได้ครบทุกมื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่แย่ที่สุดคือ หมาป่วย ไม่มีการดูแล ปล่อยให้ตายคากรง และไม่เอาศพออกมาด้วย ปล่อยให้เน่าอยู่ในกรงรวมกับหมาที่ยังมีชีวิตตัวอื่นๆอยู่อย่างนั้น
แววตาของพวกมันที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นน่าเวทนายิ่งกว่า
ไม่อยากจะยกหัวขึ้นมาดูอะไรทั้งสิ้น สิ่งต่างๆในชีวิตเลือนหายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาดูแล ไม่มีโอกาสได้ออกไปใน ชีวิตที่เหลือถูกหมกเน่าอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมแคบๆที่ต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนหมาไร้วิญญาณอีกหลายตัว
ภาพนั้นยังติดตาผมอยู่เลย
ถ้าผมมีตังค์ ถ้าผมรวย
ผมจะเอาพวกมันออกมาให้หมด เอามาเลี้ยงเอง อย่างน้อย ถ้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตหรือตายตามยถากรรม ก็ปล่อยให้มันได้เดินเองได้ วิ่งเองได้ คงจะดีกว่า
ไม่เข้าใจว่า ทำไม มนุษย์เรา ต้องไปทำอะไรแบบนั้นกับสัตว์ที่ไม่ได้เป็นพิษภัยกับเราด้วย
หรือแค่ว่า เพราะมันไม่ใช่มนุษย์ ก็เลยไม่มีสิทธิ์จะมีเสรีภาพเหมือนเราๆ
อันนี้ถกกันยาวครับ ประเด็นนี้ ผมพวกอ่อนไหวกับเรื่องหมาๆอยู่แล้วด้วย
กลับมาเรื่อง Bike กันต่อ
โอเคครับ
ผมไม่ได้ว่ากิจกรรมมันไม่ดี
แนวคิดมันดีครับ มันน่าสนใจและน่าร่วมด้วย
แต่
ผมอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง ตีโจทย์ในขั้นตอนกระบวนการทำงานหน้างานจริงให้ดีกว่านี้หน่อยครับ
การปั่นจักรยานเป็นหมู่คณะ ไม่น่าทำให้รถติดมหาศาลได้มากขนาดนี้ ตำรวจหรือผู้เกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนร่วมหรือวางแผนงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับภาคจราจรได้ดีกว่านี้นะครับ
แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าตำรวจหลายๆคนก็ไม่ได้อยากจะมาจัดงานนี้หรือ support งานที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย แต่คงขัดไม่ได้ ก็มีเยอะ
ปั่นไปน่ะดีครับ
แต่ผมไม่อยากให้ลืมจุดหมายของกิจกรรมวันนี้ ในเดือนแห่งวันแม่นี้เท่าไหร่
"ทดแทนคุณแม่" อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นลูกตัวอย่างนะครับ
แต่ ถ้าใครที่ไม่สะดวกปั่นจักรยาน ก็อยู่บ้าน ทำกับข้าวกับแม่ ทำให้แม่กิน หรือทำความสะอาดบ้านให้แม่ก็ได้นะครับ รวมไปถึงบีบนวดแข้งขาให้แม่ ผมก็ว่า น่ารักไม่แพ้กัน
ขณะที่ลูกบางคน จะปั่นเพื่อแม่ ก็ต้องมาขอตังค์แม่ไปซื้อจักรยานใหม่ ซื้อชุดปั่น ซื้อหมวกกันน็อค หรือแม้แต่ซื้อเสื้อสีฟ้า ที่ผมไม่รู้ว่า กำไรมันเข้ากระเป๋าใครไปบ้าง แต่ก็เอาเหอะ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ขาย แต่อยากให้ทุกคนไม่ลืมว่า
"ทำเพื่อแม่" น่ะ มันไม่ได้มีแค่ "ปั่นจักรยาน" นะครับ
ส่วนที่เหลือ ถ้าใครที่ชอบการทำเพื่อการกุศล ทำเพื่อเทิดทูนพระบารมี หรือมีเป้าหมายเชิงกุศลต่างๆ ก็แล้วแต่สะดวกนะครับ เชื่อว่า เจตนาดี ก็คงจะเพียงพอ
สำหรับประเทศนี้นะครับ
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558
อีก 138 วัน....
วันนี้เปิดทำงาน 1 วัน เป็นวันศุกร์ หลังจากที่ วันพุธ กับ พฤหัส เป็นวันหยุด Shutdown ของโรงงานผม ไม่เข้าใจว่าจะเหลือวันศุกร์ไว้ให้มาทำงานทำพระแสงด้ามง้าวอะไร แต่ช่างเหอะ งานกีฬาสี ที่จัด 13 สค. ผมก็ไม่ได้ไป เพราะติดงานที่ร้าน
บ้านผมเพิ่งได้ทำวอลเปเปอร์ใหม่ทั้งหลัง (เฉพาะชั้น 1) บวกกับม่านม้วนสีฟ้าและน้ำเงิน สุดอลังการเลยทีนี้ รอพ่อแม่มาเจอแทบไม่ไหว หึๆๆ
ช่วงนี้ เห็นเพื่อนๆผมสมัยประถม นัดคุยนัดกินข้าวกันไม่เว้นแต่ละวัน อันนั้นไม่เท่าไหร่ ที่อยู่ในกระแสด Line Chat ที่ผมได้อ่านผ่านๆตามาทุกวัน ก็เห็นจะมีเรื่องเพื่อนคนนึงที่ชอบลากเพื่อนในห้องไปฟัง Unicity ซึ่งการขายตรงเนี่ย ผมก็ไม่ได้แอนตี้อะไรหรอก แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้ถูกชวน เดี๋ยวก็มีดราม่า ซึ่งในห้องก็มีแล้ว เบรคคนขายของกันซะเต็มเหนี่ยว
ส่วนอีกเรื่อง ก็เป็นเรื่องพวก "หวานๆ" ประมาณว่าจีบกันโต้งๆผ่านไลน์กลุ่ม ไรเงี้ย ให้ตายเหอะ
เพื่อนเก่าผู้ชายคนนึง จีบเพื่อนหญิงในห้อง แบบโต้งเลยนะ
แล้วมันก็หายไป อยู่ๆก็หาย อีกเดี๋ยวก็มา อะไรนักหนาก็ไม่รู้
เหมือนเด็กขี้น้อยใจอ่ะ อยู่ๆจะไปก็ไป จะมาก็มา อ่านไปอ่านมา ไม่รู้ว่ามันจะหาเรื่องงอนกันได้เยอะแยะไปไหน
ไม่ได้มีกันแค่เรื่องของพวกนี้นะ ไอ้เรื่องงอนๆกันเนี่ย เต็มไลน์เลย เดี๋ยวคนนู้นงอนคนนี้ คนนี้งอนคนนู้น บางทีผมก็งงนะ คือ มันเป็นเพื่อนเก่ากัน จะรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกัน ผมก็ว่าเป็นเรื่องดี แต่ไอ้ที่จนถึงขนาด ต้องตามง้อกันเนี่ย ผมว่า มันก็เกินไป
หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้แชตไลน์คุยกะพวกมัน หรือเปล่า อันนี้ไม่รู้ เพราะบางเรื่อง แม่มก็ไร้สาระชิบหาย
บางคน ก็ชอบถ่ายรูปมาอวดนั่นอวดนี่ ผมว่า มันก็ดีอ่ะนะ ส่วนบางคน ก็ชอบตัดพ้อ ที่เห็นเยอะๆ ก็คงเป็นแบบ ชอบแซวกันอ่ะ
แต่ก็เอาเหอะ ถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร ก็น่าจะทำได้เต็มที่นะ
หรือเพราะผมหลุดพ้นสภาวะแบบนั้นมาแล้วกันหว่า
ไม่รู้สึกว่า "อิน" หรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนั้นเท่าไหร่เลย
ก็แน่สิ กลุ่มมันมีตั้งเกือบร้อยนี่หว่า เหอๆๆๆ
บ้านผมเพิ่งได้ทำวอลเปเปอร์ใหม่ทั้งหลัง (เฉพาะชั้น 1) บวกกับม่านม้วนสีฟ้าและน้ำเงิน สุดอลังการเลยทีนี้ รอพ่อแม่มาเจอแทบไม่ไหว หึๆๆ
ช่วงนี้ เห็นเพื่อนๆผมสมัยประถม นัดคุยนัดกินข้าวกันไม่เว้นแต่ละวัน อันนั้นไม่เท่าไหร่ ที่อยู่ในกระแสด Line Chat ที่ผมได้อ่านผ่านๆตามาทุกวัน ก็เห็นจะมีเรื่องเพื่อนคนนึงที่ชอบลากเพื่อนในห้องไปฟัง Unicity ซึ่งการขายตรงเนี่ย ผมก็ไม่ได้แอนตี้อะไรหรอก แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้ถูกชวน เดี๋ยวก็มีดราม่า ซึ่งในห้องก็มีแล้ว เบรคคนขายของกันซะเต็มเหนี่ยว
ส่วนอีกเรื่อง ก็เป็นเรื่องพวก "หวานๆ" ประมาณว่าจีบกันโต้งๆผ่านไลน์กลุ่ม ไรเงี้ย ให้ตายเหอะ
เพื่อนเก่าผู้ชายคนนึง จีบเพื่อนหญิงในห้อง แบบโต้งเลยนะ
แล้วมันก็หายไป อยู่ๆก็หาย อีกเดี๋ยวก็มา อะไรนักหนาก็ไม่รู้
เหมือนเด็กขี้น้อยใจอ่ะ อยู่ๆจะไปก็ไป จะมาก็มา อ่านไปอ่านมา ไม่รู้ว่ามันจะหาเรื่องงอนกันได้เยอะแยะไปไหน
ไม่ได้มีกันแค่เรื่องของพวกนี้นะ ไอ้เรื่องงอนๆกันเนี่ย เต็มไลน์เลย เดี๋ยวคนนู้นงอนคนนี้ คนนี้งอนคนนู้น บางทีผมก็งงนะ คือ มันเป็นเพื่อนเก่ากัน จะรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกัน ผมก็ว่าเป็นเรื่องดี แต่ไอ้ที่จนถึงขนาด ต้องตามง้อกันเนี่ย ผมว่า มันก็เกินไป
หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้แชตไลน์คุยกะพวกมัน หรือเปล่า อันนี้ไม่รู้ เพราะบางเรื่อง แม่มก็ไร้สาระชิบหาย
บางคน ก็ชอบถ่ายรูปมาอวดนั่นอวดนี่ ผมว่า มันก็ดีอ่ะนะ ส่วนบางคน ก็ชอบตัดพ้อ ที่เห็นเยอะๆ ก็คงเป็นแบบ ชอบแซวกันอ่ะ
แต่ก็เอาเหอะ ถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร ก็น่าจะทำได้เต็มที่นะ
หรือเพราะผมหลุดพ้นสภาวะแบบนั้นมาแล้วกันหว่า
ไม่รู้สึกว่า "อิน" หรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนั้นเท่าไหร่เลย
ก็แน่สิ กลุ่มมันมีตั้งเกือบร้อยนี่หว่า เหอๆๆๆ
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558
Review : Yowamushi Pedal โอตาคุน่องเหล็ก --- Spoil ไส้ทะลัก
ในที่สุด
ผมก็ดูมันจนจบ
หลังจากที่อ่านมังงะ ลายเส้นธรรมดาซะจนเหมือนอ่านฆ่าเวลา
แต่พอมันออกมาได้ไม่กี่ตอน ก็เสาะหาตอนใหม่ๆจนไปเจออนิเมะซึ่งดูเหมือนจะจบไปแล้ว
ก็คิดว่า เออ คงเป็นเพราะมันลงลิขสิทธิ์ คนแปลออนไลน์ก็เลยต้องหยุด
ก็เข้าไปดูกันเล่นๆ ว่าเนื้อหาตอนต่อไปนั้นใครจะชนะในการแข่งครั้งแรกของพระเอก
เกริ่นกันก่อน
ตัวเอง "โอโนดะ ซากามิจิ" เด็กหนุ่มปีหนึ่งซึ่งเป็นโอตาคุตัวพ่อ แฟนพันธุ์แท้อนิเมะเรื่อง Love Hime สาวน้อยเวทย์มนต์อะไรเทือกนั้น ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนม.ปลายโซโฮคุ โรงเรียนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่ 2 เรื่อง
หนึ่งคือชมรมจักรยานสมาชิกไม่กี่คนที่มีฝีมือสูงมากและทำผลงานได้ดีในอินเตอร์ไฮปีที่แล้ว แต่เพราะอุบัติเหตุ จึงไม่สามารถทำอันดับและผลงานได้ดีนัก
ส่วนสอง คือด้านหลังโรงเรียนที่เป็นเนินสูงชันที่ไม่เหมาะกับการขี่จักรยานมาโรงเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนส่วนใหญ่ถ้าไม่นั่งรถบัสมาทางด้านหน้าโรงเรียน ก็จะเดินไปกลับด้านหลังโรงเรียนที่เป็นเนินสูงชันนั้นแทน
แต่โอโนดะนั้นไม่ใช่คนปกติ
เขาเป็นโอตาคุที่บ้าการ์ตูนขั้นเทพ
ด้วยบุคลิกที่ไม่น่าสนใจ ลุกลี้ลุกลน ไม่มั่นใจในตนเอง และด้วยความที่เป็นโอตาคุตัวพ่อ จึงทำให้โอโนดะเป็นเด็กที่แทบจะไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว เพราะความไม่เด่นและบุคลิกแปลกๆของเขา
สิ่งเดียวที่ทำให้โอโนดะมีความสุขตลอดมาตั้งแต่เด็ก คือการได้ปั่นจักรยานแม่บ้านไปอากิฮาบาระ ดินแดนแห่งโอตาคุทุกสัปดาห์ ไม่ต้องพูดถึงช่วงปิดเทอมที่พี่แกจะปั่นไปกลับทุกวัน ขอแค่ให้ได้ดมกลิ่น และเก็บเงินค่าขนมอันน้อยนิดเอาไปซื้อกาชาปอง ฟิกเกอร์ ซีดี หรืออะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับการ์ตูนที่เขาชอบ
เหตุผลที่เขาเลือกขี่จักรยานไปกลับบ้านกับอากิฮาบาระทุกครั้ง ก็คือ เพื่อที่จะประหยัดค่าตั๋วรถไฟแล้วเอามาซื้อของเกี่ยวกับอนิเมะที่เขาชอบนั่นเอง
"อิมาอิซึมิ ชุนสุเกะ" เด็กหนุ่มหน้าตาบุคลิกดีที่บ้าจักรยานเสือหมอบ (Road Racer) เป็นอย่างมาก แทบจะหายใจเข้าออกเป็นการปั่นจักรยานเลยทีเดียว มีความฝันเพียงอย่างเดียวคือชัยชนะ เขามีความสุขกับการปั่นและขึ้นนำผู้แข่งขันคนอื่นจนเข้าเส้นชัยเพราะเหตุผลที่ว่า "มันเงียบดี"
อิมาอิซึมิแพ้ให้กับเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันชื่อ "มิโดซึจิ" เขาจึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะซ้อมจักรยานอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะสมัครเข้าชมรมจักรยานโซโฮคุและเข้าร่วมแข่งอินเตอร์ไฮเพื่อจะไปล้างแค้นมิโดซึจิ
ขณะที่อิมาอิซึมิกำลังปั่นจักรยานซ้อมที่เนินด้านหลังโรงเรียน ก็ได้พบกับโอโนดะที่ปั่นจักรยานแม่บ้านไปพลางฮัมเพลง "Love Hime" การ์ตูนโปรดของเขาไปพลาง อิมาอิซึมิประหลาดใจที่เห็นเด็กคนอื่นปั่นจักรยานแม่บ้านในเนินชันหฤโหดแบบนี้ อีกทั้งพอจะลองฝีมือของโอโนดะ ก็พบว่าเขามีรอบปั่นที่มากมายมหาศาลผิดกับคนธรรมดา จนด้วยความไม่ตั้งใจ อิมาอิซึมิ ก็รู้สึกว่า โอโนดะนั้น เหมือนเป็นคู่แข่งโดยบังเอิญ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากโอโนดะว่า เขาปั่นจักรยานไปกลับอากิฮาบาระเป็นระยะทาง 90 กม.ทุกอาทิตย์ ก็ยิ่งประหลาดใจ และท้าแข่งกับโอโนดะในที่สุด
โดยวางเดิมพันว่า ถ้าโอโนดะชนะ อิมาอิซึมิ จะยอมเข้าร่วมกับชมรมอนิเมะที่โอโนดะพยายามจะก่อตั้ัง
โอโนดะที่มีความฝันว่า สักวันหนึ่ง อยากจะตั้งชมรมอนิเมะ และไปเที่ยวกับเพื่อนๆในชมรมที่อากิฮาบาระบ่อยๆ ก็วาดฝันไว้ซะดิบดี ยิ่งเขาเองไม่เคยมีเพื่อนเลยด้วย การที่อิมาอิซึมิยื่นข้อเสนอมาให้แบบนี้ ทำให้โอโนดะไฟลุกท่วม และตอบตกลงแข่งขันกับอิมาอิซึมิไป
การแข่งเริ่มต้นขึ้น โดยแข่งกันว่า จากตีนเนินด้านหลังโรงเรียน ใครที่ขึ้นไปยังประตูโรงเรียนได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ
อิมาอิซึมิต่อเวลาให้โอโนดะออกตัวก่อน 15 นาที เพราะเห็นว่าเป็นจักรยานแม่บ้านและเป็นมือสมัครเล่น เขาไม่อยากชนะด้วยความได้เปรียบมหาศาลทั้งจักรยานและประสบการณ์แบบนี้
"คันซากิ มิกิ" เด็กสาวปีหนึ่งผู้บ้าจักรยานและเป็นเพื่อนกับอิมาอิซึมิมาตั้งแต่เด็ก เข้ามาเป็นกรรมการให้ เธอมองเห็นความสามารถของโอโนดะและเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือชมรมจักรยานได้ จึงพยายามช่วยเหลือและสนับสนุนให้โอโนดะสามารถพัฒนาความสามารถในการขี่จักรยานของเขาได้อย่างตรงไปตรงมา
ผลการแข่งขันออกมาตามคาด คืออิมาอิซึมิชนะโอโนดะไปได้ แต่ที่ผิดคาดคือ ความพยายามของโอโนดะนั้นเล่นเอาอิมาอิซึมิถึงขั้น "หืดขึ้นคอ" ซึ่งการแข่งขันทั้งหมดนั้น ถูกจับตามองโดย "รุ่นพี่ปี 3" ของชมรมจักรยานด้วยเช่นกัน
วันต่อมา โอโนดะก็ได้พบกับอิมาอิซึมิอีกครั้ง ซึ่งอิมาอิซึมิก็ยอมรับในความสามารถของโอโนดะ พร้อมทั้งชวนให้เขามาเข้าร่วมชมรมจักรยานเพราะเห็นว่ามีแวว แต่โอโนดะก็ยังอยากจะตั้งชมรมอนิเมะขึ้นให้ได้มากกว่า ตามความตั้งใจเดิม
หลังจากการแข่งขัน โอโนดะพยายามประกาศตั้งชมรมอนิเมะ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาปั่นจักรยานไปเที่ยวอากิฮาบาระเหมือนปกติ
โชคชะตาได้นำพาให้โอโนดะได้มาพบกับ "นารุโกะ โชคิจิ" เด็กหนุ่มบ้านนอกเลือดร้อนจากนานิวะที่ย้ายมาอยู่ที่จิบะ ก็ได้มาพบกับโอโนดะและให้โอโนดะแนะนำร้านต่างๆให้นารุโกะเพื่อจะได้ซื้อของไปฝากน้องๆที่บ้าน นารุโกะก็เป็นพวกบ้าจักรยานเข้าเส้นเหมือนกัน พอได้มาเห็นจักรยานของโอโนดะก็ได้รู้ว่าโอโนดะนั้น รักจักรยานเช่นเดียวกับตนเอง จึงรู้สึกประทับใจโอโนดะเป็นพิเศษ
ระหว่างที่กำลังจะกลับ ชายหนุ่มแปลกหน้าขับรถมาใกล้และโยนก้นบุหรี่ใส่จนโดนจักรยานโอโนดะ ทำเอานารุโกะโมโหจนเลือดพล่านที่เห็นคนทำร้ายจักรยานตรงหน้า ขณะที่กำลังจะขี่จักรยานกลับบ้านด้วยกัน นารุโกะก็เห็นรถของชายที่โยนก้นบุหรี่ใส่จักรยานจอดติดไฟแดงอยู่ จึงวางแผนจะเอาคืนโดยการปั่นจักรยานกับโอโนดะไปให้ทันรถยนต์คนนั้น
โอโนดะรับคำอย่างเสียไม่ได้เพราะนารุโกะไม่ได้ให้ทางเลือกเขาเท่าไหร่นัก ก็จับพลัดจับผลูตกกระไดพลอยโจนไปด้วย
โอโนดะตกใจกับความสามารถในการ "สปรินต์" ของนารุโกะที่เป็น Sprinter อย่างมาก เช่นเดียวกับนารุโกะที่ตะลึงกับ "รอบปั่น" ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อของโอโนดะที่ปั่นจักรยานแม่บ้าน
การไล่ตามรถยนต์คันนั้น แม้สุดท้ายจะไม่ได้คืน "ก้นบุหรี่" ให้กับเจ้าของรถยนต์ แต่ก็ทำให้ทั้งสองคนเกิดมิตรภาพดีๆให้แก่กัน
วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียน โอโนดะจึงได้รู้ว่า นารุโกะ คือนักเรียนที่ย้ายมาใหม่และเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน
นารุโกะชวนโอโนดะให้เข้าร่วมชมรมจักรยานเพราะเห็นแววเช่นเดียวกับที่อิมาอิซึมิเห็น โอโนดะคิดแล้วคิดอีก จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมชมรมจักรยานดีกว่า เพราะจักรยานนั้น ค่อยๆสร้างเพื่อนให้กับเขาอย่างไม่คาดคิดเหลือเกิน ทั้งอิมาอิซึมิ คันซากิ และนารุโกะ
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ เด็กหนุ่มโอตาคุนักปั่น ที่จะสร้างพายุลูกใหม่ให้กับการแข่งขันอินเตอร์ไฮในปีนี้
(ว่างๆจะมาต่อนะครัช)
ผมก็ดูมันจนจบ
หลังจากที่อ่านมังงะ ลายเส้นธรรมดาซะจนเหมือนอ่านฆ่าเวลา
แต่พอมันออกมาได้ไม่กี่ตอน ก็เสาะหาตอนใหม่ๆจนไปเจออนิเมะซึ่งดูเหมือนจะจบไปแล้ว
ก็คิดว่า เออ คงเป็นเพราะมันลงลิขสิทธิ์ คนแปลออนไลน์ก็เลยต้องหยุด
ก็เข้าไปดูกันเล่นๆ ว่าเนื้อหาตอนต่อไปนั้นใครจะชนะในการแข่งครั้งแรกของพระเอก
เกริ่นกันก่อน
ตัวเอง "โอโนดะ ซากามิจิ" เด็กหนุ่มปีหนึ่งซึ่งเป็นโอตาคุตัวพ่อ แฟนพันธุ์แท้อนิเมะเรื่อง Love Hime สาวน้อยเวทย์มนต์อะไรเทือกนั้น ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนม.ปลายโซโฮคุ โรงเรียนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่ 2 เรื่อง
หนึ่งคือชมรมจักรยานสมาชิกไม่กี่คนที่มีฝีมือสูงมากและทำผลงานได้ดีในอินเตอร์ไฮปีที่แล้ว แต่เพราะอุบัติเหตุ จึงไม่สามารถทำอันดับและผลงานได้ดีนัก
ส่วนสอง คือด้านหลังโรงเรียนที่เป็นเนินสูงชันที่ไม่เหมาะกับการขี่จักรยานมาโรงเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนส่วนใหญ่ถ้าไม่นั่งรถบัสมาทางด้านหน้าโรงเรียน ก็จะเดินไปกลับด้านหลังโรงเรียนที่เป็นเนินสูงชันนั้นแทน
แต่โอโนดะนั้นไม่ใช่คนปกติ
เขาเป็นโอตาคุที่บ้าการ์ตูนขั้นเทพ
ด้วยบุคลิกที่ไม่น่าสนใจ ลุกลี้ลุกลน ไม่มั่นใจในตนเอง และด้วยความที่เป็นโอตาคุตัวพ่อ จึงทำให้โอโนดะเป็นเด็กที่แทบจะไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว เพราะความไม่เด่นและบุคลิกแปลกๆของเขา
สิ่งเดียวที่ทำให้โอโนดะมีความสุขตลอดมาตั้งแต่เด็ก คือการได้ปั่นจักรยานแม่บ้านไปอากิฮาบาระ ดินแดนแห่งโอตาคุทุกสัปดาห์ ไม่ต้องพูดถึงช่วงปิดเทอมที่พี่แกจะปั่นไปกลับทุกวัน ขอแค่ให้ได้ดมกลิ่น และเก็บเงินค่าขนมอันน้อยนิดเอาไปซื้อกาชาปอง ฟิกเกอร์ ซีดี หรืออะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับการ์ตูนที่เขาชอบ
เหตุผลที่เขาเลือกขี่จักรยานไปกลับบ้านกับอากิฮาบาระทุกครั้ง ก็คือ เพื่อที่จะประหยัดค่าตั๋วรถไฟแล้วเอามาซื้อของเกี่ยวกับอนิเมะที่เขาชอบนั่นเอง
"อิมาอิซึมิ ชุนสุเกะ" เด็กหนุ่มหน้าตาบุคลิกดีที่บ้าจักรยานเสือหมอบ (Road Racer) เป็นอย่างมาก แทบจะหายใจเข้าออกเป็นการปั่นจักรยานเลยทีเดียว มีความฝันเพียงอย่างเดียวคือชัยชนะ เขามีความสุขกับการปั่นและขึ้นนำผู้แข่งขันคนอื่นจนเข้าเส้นชัยเพราะเหตุผลที่ว่า "มันเงียบดี"
อิมาอิซึมิแพ้ให้กับเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันชื่อ "มิโดซึจิ" เขาจึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะซ้อมจักรยานอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะสมัครเข้าชมรมจักรยานโซโฮคุและเข้าร่วมแข่งอินเตอร์ไฮเพื่อจะไปล้างแค้นมิโดซึจิ
ขณะที่อิมาอิซึมิกำลังปั่นจักรยานซ้อมที่เนินด้านหลังโรงเรียน ก็ได้พบกับโอโนดะที่ปั่นจักรยานแม่บ้านไปพลางฮัมเพลง "Love Hime" การ์ตูนโปรดของเขาไปพลาง อิมาอิซึมิประหลาดใจที่เห็นเด็กคนอื่นปั่นจักรยานแม่บ้านในเนินชันหฤโหดแบบนี้ อีกทั้งพอจะลองฝีมือของโอโนดะ ก็พบว่าเขามีรอบปั่นที่มากมายมหาศาลผิดกับคนธรรมดา จนด้วยความไม่ตั้งใจ อิมาอิซึมิ ก็รู้สึกว่า โอโนดะนั้น เหมือนเป็นคู่แข่งโดยบังเอิญ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากโอโนดะว่า เขาปั่นจักรยานไปกลับอากิฮาบาระเป็นระยะทาง 90 กม.ทุกอาทิตย์ ก็ยิ่งประหลาดใจ และท้าแข่งกับโอโนดะในที่สุด
โดยวางเดิมพันว่า ถ้าโอโนดะชนะ อิมาอิซึมิ จะยอมเข้าร่วมกับชมรมอนิเมะที่โอโนดะพยายามจะก่อตั้ัง
โอโนดะที่มีความฝันว่า สักวันหนึ่ง อยากจะตั้งชมรมอนิเมะ และไปเที่ยวกับเพื่อนๆในชมรมที่อากิฮาบาระบ่อยๆ ก็วาดฝันไว้ซะดิบดี ยิ่งเขาเองไม่เคยมีเพื่อนเลยด้วย การที่อิมาอิซึมิยื่นข้อเสนอมาให้แบบนี้ ทำให้โอโนดะไฟลุกท่วม และตอบตกลงแข่งขันกับอิมาอิซึมิไป
การแข่งเริ่มต้นขึ้น โดยแข่งกันว่า จากตีนเนินด้านหลังโรงเรียน ใครที่ขึ้นไปยังประตูโรงเรียนได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ
อิมาอิซึมิต่อเวลาให้โอโนดะออกตัวก่อน 15 นาที เพราะเห็นว่าเป็นจักรยานแม่บ้านและเป็นมือสมัครเล่น เขาไม่อยากชนะด้วยความได้เปรียบมหาศาลทั้งจักรยานและประสบการณ์แบบนี้
"คันซากิ มิกิ" เด็กสาวปีหนึ่งผู้บ้าจักรยานและเป็นเพื่อนกับอิมาอิซึมิมาตั้งแต่เด็ก เข้ามาเป็นกรรมการให้ เธอมองเห็นความสามารถของโอโนดะและเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือชมรมจักรยานได้ จึงพยายามช่วยเหลือและสนับสนุนให้โอโนดะสามารถพัฒนาความสามารถในการขี่จักรยานของเขาได้อย่างตรงไปตรงมา
ผลการแข่งขันออกมาตามคาด คืออิมาอิซึมิชนะโอโนดะไปได้ แต่ที่ผิดคาดคือ ความพยายามของโอโนดะนั้นเล่นเอาอิมาอิซึมิถึงขั้น "หืดขึ้นคอ" ซึ่งการแข่งขันทั้งหมดนั้น ถูกจับตามองโดย "รุ่นพี่ปี 3" ของชมรมจักรยานด้วยเช่นกัน
วันต่อมา โอโนดะก็ได้พบกับอิมาอิซึมิอีกครั้ง ซึ่งอิมาอิซึมิก็ยอมรับในความสามารถของโอโนดะ พร้อมทั้งชวนให้เขามาเข้าร่วมชมรมจักรยานเพราะเห็นว่ามีแวว แต่โอโนดะก็ยังอยากจะตั้งชมรมอนิเมะขึ้นให้ได้มากกว่า ตามความตั้งใจเดิม
หลังจากการแข่งขัน โอโนดะพยายามประกาศตั้งชมรมอนิเมะ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาปั่นจักรยานไปเที่ยวอากิฮาบาระเหมือนปกติ
โชคชะตาได้นำพาให้โอโนดะได้มาพบกับ "นารุโกะ โชคิจิ" เด็กหนุ่มบ้านนอกเลือดร้อนจากนานิวะที่ย้ายมาอยู่ที่จิบะ ก็ได้มาพบกับโอโนดะและให้โอโนดะแนะนำร้านต่างๆให้นารุโกะเพื่อจะได้ซื้อของไปฝากน้องๆที่บ้าน นารุโกะก็เป็นพวกบ้าจักรยานเข้าเส้นเหมือนกัน พอได้มาเห็นจักรยานของโอโนดะก็ได้รู้ว่าโอโนดะนั้น รักจักรยานเช่นเดียวกับตนเอง จึงรู้สึกประทับใจโอโนดะเป็นพิเศษ
ระหว่างที่กำลังจะกลับ ชายหนุ่มแปลกหน้าขับรถมาใกล้และโยนก้นบุหรี่ใส่จนโดนจักรยานโอโนดะ ทำเอานารุโกะโมโหจนเลือดพล่านที่เห็นคนทำร้ายจักรยานตรงหน้า ขณะที่กำลังจะขี่จักรยานกลับบ้านด้วยกัน นารุโกะก็เห็นรถของชายที่โยนก้นบุหรี่ใส่จักรยานจอดติดไฟแดงอยู่ จึงวางแผนจะเอาคืนโดยการปั่นจักรยานกับโอโนดะไปให้ทันรถยนต์คนนั้น
โอโนดะรับคำอย่างเสียไม่ได้เพราะนารุโกะไม่ได้ให้ทางเลือกเขาเท่าไหร่นัก ก็จับพลัดจับผลูตกกระไดพลอยโจนไปด้วย
โอโนดะตกใจกับความสามารถในการ "สปรินต์" ของนารุโกะที่เป็น Sprinter อย่างมาก เช่นเดียวกับนารุโกะที่ตะลึงกับ "รอบปั่น" ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อของโอโนดะที่ปั่นจักรยานแม่บ้าน
การไล่ตามรถยนต์คันนั้น แม้สุดท้ายจะไม่ได้คืน "ก้นบุหรี่" ให้กับเจ้าของรถยนต์ แต่ก็ทำให้ทั้งสองคนเกิดมิตรภาพดีๆให้แก่กัน
วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียน โอโนดะจึงได้รู้ว่า นารุโกะ คือนักเรียนที่ย้ายมาใหม่และเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน
นารุโกะชวนโอโนดะให้เข้าร่วมชมรมจักรยานเพราะเห็นแววเช่นเดียวกับที่อิมาอิซึมิเห็น โอโนดะคิดแล้วคิดอีก จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมชมรมจักรยานดีกว่า เพราะจักรยานนั้น ค่อยๆสร้างเพื่อนให้กับเขาอย่างไม่คาดคิดเหลือเกิน ทั้งอิมาอิซึมิ คันซากิ และนารุโกะ
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ เด็กหนุ่มโอตาคุนักปั่น ที่จะสร้างพายุลูกใหม่ให้กับการแข่งขันอินเตอร์ไฮในปีนี้
(ว่างๆจะมาต่อนะครัช)
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558
เหลืออีก 146 วัน ก่อนสิ้นปี ก่อนการเป็นลูกจ้าง....
หัวเรื่องไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรือเปล่า แต่ช่างเถอะ ระบายมันไปเรื่อยๆละกัน
ช่วงนี้มีประเด็นเล็กๆน้อยๆหลายอย่างในชีวิตทีเดียว
เรื่องเพื่อนสมัยประถมที่อยู่ๆก็นัดกันมาเจอกันได้ยังไงก็ไม่รู้ นี่ก็นัดไปกินกันแถวบางแสนเอาวันที่ 28 สค. ก็ดี จะได้ไปเจอกันได้สักที ได้พูดคุยทำความรู้จักกันบ้างอะไรบ้าง นะ
เรื่องลูกน้องในแผนกที่เริ่มจะมีแขวะๆกันบ้าง ไม่กินเส้นกันบ้าง ไม่ลงรอยกันบ้าง ตามประสาคนทำงานด้วยกัน ก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย อันนี้ก็พูดยาก เพราะผมก็เข้าใจว่า ถ้าลงเราหมั่นไส้ใครไปแล้ว การจะกลับมาดีด้วยอีกครั้ัง มันก็ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ปรับตัวเข้าหาก่อน ก็คงกลับมาดีกันได้ไม่ง่ายเท่าไหร่
แต่ก็ทำได้แค่นั้น ปล่อยๆเด็กมันไปบ้าง ไม่อยากจะไปคิดแทนมันหรือรองรับความรู้สึกมันมาก เพราะเราก็โตๆกันหมดแล้ว ทำงานหาเงินกันได้หมดแล้ว แต่ละคนควรต้องแก้โจทย์ของตัวเองไป น่าจะดีกว่า
ยิ่งถ้ามันรู้ว่าเราจะออกสิ้นปีนี่ด้วยนะ ยิ่งลำบากเลยทีนี้
เรื่องงานแต่งเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ก็คงไปไม่ได้ เพราะงานที่นี่เยอะเหลือเกิน รถก็ดันถูกชน แฟนไม่มีรถไว้วิ่งงาน ก็คงต้องไปช่วยอย่างเต็มที่อ่ะนะ
เรื่องน้องหมาที่ว่าจะไปรับอุปการะดูแลเขา นี่ก็พูดยาก เพราะดูแล้ว มันยังไม่น่าสงสารเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องเข้าไปดูก่อนอ่ะนะ ว่าน้องหมานั้นเขาน่าสงสารมากแค่ไหน ส่วนนึงคงต้องปฏิเสธไปนั่นแหละว่า คงรับเลี้ยงทั้งหมดไม่ได้ ก็จะช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ละกัน
ช่วงนี้ติดดูอนิเมะ เรื่อง Yowamushi Pedal เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มโอตาคุที่มีความสามารถด้านการปั่นจักรยานมากกว่าคนธรรมดา และการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชมรมจักรยานก็ทำให้เขาได้ค้นพบโลกอีกใบที่เติมเต็มชีวิตเขา
เรื่องนี้ผมดูแล้วติดหนึบเลย อาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกีฬาด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่การจัด Storyboard ผมว่าใช้ได้ ยิ่งเพลงประกอบ Build อารมณ์นี่ ผมว่าผ่าน ได้ใจผมไปเต็มๆ ฉากที่ตัวละครแต่ละตัวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้กำลังและความสามารถของตัวเองเพื่อเอาชนะคู่แข่งนี่ มันสร้างแรงกระตุ้นและความสนุกสนานให้ผมได้อย่างประหลาด
กลับไปคงต้องดูอีก
นี่ยังไม่รวมเรื่องที่พอไปดูที่ดินมา ว่าจะสร้างบ้านที่จะเอาไว้อยู่กันบั้นปลายชีวิต และแฟนเราก็เข้ากันได้กับครอบครัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ
คิดๆไปแล้วก็เหมือนฝัน มีแฟนที่ดี มีงานที่ดี มีครอบครัวที่ดี มีสุขภาพที่ดี(?)
อิจฉาชีวิตตัวเองเสียนี่กระไร 555
ช่วงนี้มีประเด็นเล็กๆน้อยๆหลายอย่างในชีวิตทีเดียว
เรื่องเพื่อนสมัยประถมที่อยู่ๆก็นัดกันมาเจอกันได้ยังไงก็ไม่รู้ นี่ก็นัดไปกินกันแถวบางแสนเอาวันที่ 28 สค. ก็ดี จะได้ไปเจอกันได้สักที ได้พูดคุยทำความรู้จักกันบ้างอะไรบ้าง นะ
เรื่องลูกน้องในแผนกที่เริ่มจะมีแขวะๆกันบ้าง ไม่กินเส้นกันบ้าง ไม่ลงรอยกันบ้าง ตามประสาคนทำงานด้วยกัน ก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย อันนี้ก็พูดยาก เพราะผมก็เข้าใจว่า ถ้าลงเราหมั่นไส้ใครไปแล้ว การจะกลับมาดีด้วยอีกครั้ัง มันก็ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ปรับตัวเข้าหาก่อน ก็คงกลับมาดีกันได้ไม่ง่ายเท่าไหร่
แต่ก็ทำได้แค่นั้น ปล่อยๆเด็กมันไปบ้าง ไม่อยากจะไปคิดแทนมันหรือรองรับความรู้สึกมันมาก เพราะเราก็โตๆกันหมดแล้ว ทำงานหาเงินกันได้หมดแล้ว แต่ละคนควรต้องแก้โจทย์ของตัวเองไป น่าจะดีกว่า
ยิ่งถ้ามันรู้ว่าเราจะออกสิ้นปีนี่ด้วยนะ ยิ่งลำบากเลยทีนี้
เรื่องงานแต่งเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ก็คงไปไม่ได้ เพราะงานที่นี่เยอะเหลือเกิน รถก็ดันถูกชน แฟนไม่มีรถไว้วิ่งงาน ก็คงต้องไปช่วยอย่างเต็มที่อ่ะนะ
เรื่องน้องหมาที่ว่าจะไปรับอุปการะดูแลเขา นี่ก็พูดยาก เพราะดูแล้ว มันยังไม่น่าสงสารเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องเข้าไปดูก่อนอ่ะนะ ว่าน้องหมานั้นเขาน่าสงสารมากแค่ไหน ส่วนนึงคงต้องปฏิเสธไปนั่นแหละว่า คงรับเลี้ยงทั้งหมดไม่ได้ ก็จะช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ละกัน
ช่วงนี้ติดดูอนิเมะ เรื่อง Yowamushi Pedal เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มโอตาคุที่มีความสามารถด้านการปั่นจักรยานมากกว่าคนธรรมดา และการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชมรมจักรยานก็ทำให้เขาได้ค้นพบโลกอีกใบที่เติมเต็มชีวิตเขา
เรื่องนี้ผมดูแล้วติดหนึบเลย อาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกีฬาด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่การจัด Storyboard ผมว่าใช้ได้ ยิ่งเพลงประกอบ Build อารมณ์นี่ ผมว่าผ่าน ได้ใจผมไปเต็มๆ ฉากที่ตัวละครแต่ละตัวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้กำลังและความสามารถของตัวเองเพื่อเอาชนะคู่แข่งนี่ มันสร้างแรงกระตุ้นและความสนุกสนานให้ผมได้อย่างประหลาด
กลับไปคงต้องดูอีก
นี่ยังไม่รวมเรื่องที่พอไปดูที่ดินมา ว่าจะสร้างบ้านที่จะเอาไว้อยู่กันบั้นปลายชีวิต และแฟนเราก็เข้ากันได้กับครอบครัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ
คิดๆไปแล้วก็เหมือนฝัน มีแฟนที่ดี มีงานที่ดี มีครอบครัวที่ดี มีสุขภาพที่ดี(?)
อิจฉาชีวิตตัวเองเสียนี่กระไร 555
วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558
เปรียบเทียบหัวหน้าใหม่กับหัวหน้าเก่า เจอคนใหม่ว่าลำบากแล้ว คนใหม่ทำอะไรไม่เป็นเลยนี่ยิ่งลำบากนะ T T
ผ่านมาได้ 1 เดือน หลังจากหัวหน้าเก่ากลับญี่ปุ่น หัวหน้ามาใหม่เข้ามาแทนที่
ความแตกต่างมากมายก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลในแผนก
ส่วนหลักสำคัญใหญ่ๆเลยคือ หัวหน้าทั้งสองคนนั้น ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
หัวหน้าเก่านั้น เก่งด้านตัวเลข ข้อมูลเชิงลึก และทำงานด้วยตัวเองได้ค่อนข้างมาก อะไรที่ยากลำบาก และดูไม่เหมาะกับความเป็นจริง หัวหน้าเก่านี้จะปรับเปลี่ยนแก้ไขตามสไตล์ตัวเองเพื่อให้ภาพรวมออกมาดูเป็นไปได้มากที่สุด
แปลง่ายๆคือ อะไรที่ดูไม่ Make sense นางจะแก้ไขและ Lobby คนที่สงสัยใคร่รู้ด้วยตัวเอง และคนส่วนมากที่ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลเชิงลึกของ IE นี้ ก็มักจะไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงหรือหาข้อมูลตัวเลขมาหักล้างได้
จนในที่สุด ก็มักจะไม่มีใครสนใจจะถามอะไรอีก
เวลา Present ใหญ่ๆ ก็มักจะคอยช่วยตอบคำถามและหาทางหนีทีไล่ให้ลูกน้องได้อย่างเหลือเชื่อ จนทำให้เราเบาใจ และรู้สึกได้ว่า ไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก เพราะมีอะไร หัวหน้าก็จะ Cover และ Back Up เราทั้งหมด จนไม่ต้องถูก Complain มาก
ส่วนหัวหน้าใหม่ที่มาแทน
ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มาเลยแม้แต่น้อย
แผนกเก่าที่เขาอยู่ ก็ไม่ได้ใช้ตัวเลขหรือการวิเคราะห์ข้อมูลแนวนี้แต่อย่างใด
เหมือนเคยทำฝ่ายเทคนิคของสินค้ามา แล้วต้องมาทำพวกข้อมูลเชิงประสิทธภาพ มันไปด้วยกันไม่ได้อย่างแรง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ หัวหน้าใหม่แทบจะทำอะไรเองไม่ได้เลยสักอย่าง ต้องอาศัยลูกน้องทุกอย่างไปให้คอยช่วยเหลือ Support ข้อมูลทุกตัว แถมยังไม่สามารถคำนวณหรือวิเคราะห์ตัวเลขในภาพรวมและภาพย่อยได้เลยแม้แต่น้อย
ผลที่ตามมาคือ
หัวหน้าใหม่นั้น ต้องให้เราช่วยคิดและวิเคราะห์อะไรๆทุกอย่างใหม่หมด แถมการที่ไม่มีความรู้เชิงลึกในด้านนี้มาก่อนนั้น ก็ทำให้ต้องถามลูกน้องซ้ำๆซากๆ ถามแล้วถามอีกอยู่ตลอด จนเด็กๆหลายคนบ่นว่า จะต้องให้อธิบายอะไรกันมากมายหลายรอบอะไรจะขนาดนั้น
ซึ่ง ตัวหัวหน้าใหม่นี้เอง ก็ไม่รู้ว่า ทำไม ผู้ใหญ่ทางสำนักงานใหญ่ ถึงส่งให้แกมาดำรงตำแหน่งในแผนกนี้ ไม่มีใครตอบได้ นอกจากคนสั่งการ
อาจเป็นเพราะ
โรงงานทางนู้นไม่สามารถรองรับการเติบโตของพนักงานได้ จึงต้องให้มา Up ตำแหน่งเก็บ Skill จากแผนกอื่น
หรือ เพราะคนๆนี้ทำงานดีมาก (ซึ่งผมว่าไม่น่าใช่) ก็เลยจะ Up ตำแหน่งให้ โดยการย้ายมาประจำที่โรงงานที่ไทยเพื่อให้ฝึก Skill การบริหารงาน
หรือที่แย่สุดคือ ทางนู้นเขาไม่เอาคนๆนี้ ก็เลยผลักไสไล่ส่งมา โดยเชื่อว่า แผนกผมนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคนญี่ปุ่นที่ "เก๋า" มากๆก็เป็นได้ จะเพราะคนไทยมันทำงานกันเองได้ หรือไม่จำเป็นต้องมีใครมาคุม หรือแค่มีคนคอยเป็นหัวโขนให้ ฯลฯ ก็แล้วแต่จะคิดได้
ซึ่งผมไม่อยากไปคิดอะไรมากตรงนั้น เพราะคิดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แค่บ่นกับตัวเองก็เหนื่อยพอแล้ว ยังไม่รวมงานที่เขาสั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายถ้าเทียบกับตอนอยู่กับหัวหน้าเก่า
อารมณ์ว่าคนเก่า สั่งงานประมาณ 1 คนนี้สั่งประมาณ 10
แน่นอน ว่ามองในแง่ลบ มันคือการทำให้เราทำงานได้ยากขึ้น เยอะขึ้น และเหนื่อยมากขึ้น
แต่มองในแง่บวก ผมว่า มันทำให้ผมออกจาก Comfort Zone ได้โดยจำเป็น (เพราะ Fight บังคับ)
ไม่รู้จริง รู้มากขึ้น ก็ไม่ได้ ต้องรู้เอง ต้องทำเองเป็นให้หมด
เพราะมันไปหวังพึ่งหัวหน้าใหม่คนนี้ไม่ได้
นี่ยังไม่รวมว่า หัวหน้าใหม่จะโยนขี้ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าลูกน้องด้วยหรือเปล่านะ (ข้อนี้ก็ตอบไม่ได้อีก ต้องเล่นการเมืองล้วงตับกันอีกพักใหญ่ๆ)
แต่เอาเหอะ
ยังไงซะ ผมก็กะจะออกสิ้นปีอยู่แล้ว
ก็ทำไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่ม Skill การระแวดระวัง การคิดวิเคราะห์ และการประมวลผลเชิงลึกให้ตัวเองไปเรื่อยๆ ก็พอ
มองในแง่ดี
เราเก่งขึ้น
เรามีวินัยมากขึ้น
เราทำงานเร็วขึ้น
และเผชิญหน้าต่อสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น
คิดแบบนั้นละกันนะ
ความแตกต่างมากมายก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลในแผนก
ส่วนหลักสำคัญใหญ่ๆเลยคือ หัวหน้าทั้งสองคนนั้น ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
หัวหน้าเก่านั้น เก่งด้านตัวเลข ข้อมูลเชิงลึก และทำงานด้วยตัวเองได้ค่อนข้างมาก อะไรที่ยากลำบาก และดูไม่เหมาะกับความเป็นจริง หัวหน้าเก่านี้จะปรับเปลี่ยนแก้ไขตามสไตล์ตัวเองเพื่อให้ภาพรวมออกมาดูเป็นไปได้มากที่สุด
แปลง่ายๆคือ อะไรที่ดูไม่ Make sense นางจะแก้ไขและ Lobby คนที่สงสัยใคร่รู้ด้วยตัวเอง และคนส่วนมากที่ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลเชิงลึกของ IE นี้ ก็มักจะไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงหรือหาข้อมูลตัวเลขมาหักล้างได้
จนในที่สุด ก็มักจะไม่มีใครสนใจจะถามอะไรอีก
เวลา Present ใหญ่ๆ ก็มักจะคอยช่วยตอบคำถามและหาทางหนีทีไล่ให้ลูกน้องได้อย่างเหลือเชื่อ จนทำให้เราเบาใจ และรู้สึกได้ว่า ไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก เพราะมีอะไร หัวหน้าก็จะ Cover และ Back Up เราทั้งหมด จนไม่ต้องถูก Complain มาก
ส่วนหัวหน้าใหม่ที่มาแทน
ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มาเลยแม้แต่น้อย
แผนกเก่าที่เขาอยู่ ก็ไม่ได้ใช้ตัวเลขหรือการวิเคราะห์ข้อมูลแนวนี้แต่อย่างใด
เหมือนเคยทำฝ่ายเทคนิคของสินค้ามา แล้วต้องมาทำพวกข้อมูลเชิงประสิทธภาพ มันไปด้วยกันไม่ได้อย่างแรง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ หัวหน้าใหม่แทบจะทำอะไรเองไม่ได้เลยสักอย่าง ต้องอาศัยลูกน้องทุกอย่างไปให้คอยช่วยเหลือ Support ข้อมูลทุกตัว แถมยังไม่สามารถคำนวณหรือวิเคราะห์ตัวเลขในภาพรวมและภาพย่อยได้เลยแม้แต่น้อย
ผลที่ตามมาคือ
หัวหน้าใหม่นั้น ต้องให้เราช่วยคิดและวิเคราะห์อะไรๆทุกอย่างใหม่หมด แถมการที่ไม่มีความรู้เชิงลึกในด้านนี้มาก่อนนั้น ก็ทำให้ต้องถามลูกน้องซ้ำๆซากๆ ถามแล้วถามอีกอยู่ตลอด จนเด็กๆหลายคนบ่นว่า จะต้องให้อธิบายอะไรกันมากมายหลายรอบอะไรจะขนาดนั้น
ซึ่ง ตัวหัวหน้าใหม่นี้เอง ก็ไม่รู้ว่า ทำไม ผู้ใหญ่ทางสำนักงานใหญ่ ถึงส่งให้แกมาดำรงตำแหน่งในแผนกนี้ ไม่มีใครตอบได้ นอกจากคนสั่งการ
อาจเป็นเพราะ
โรงงานทางนู้นไม่สามารถรองรับการเติบโตของพนักงานได้ จึงต้องให้มา Up ตำแหน่งเก็บ Skill จากแผนกอื่น
หรือ เพราะคนๆนี้ทำงานดีมาก (ซึ่งผมว่าไม่น่าใช่) ก็เลยจะ Up ตำแหน่งให้ โดยการย้ายมาประจำที่โรงงานที่ไทยเพื่อให้ฝึก Skill การบริหารงาน
หรือที่แย่สุดคือ ทางนู้นเขาไม่เอาคนๆนี้ ก็เลยผลักไสไล่ส่งมา โดยเชื่อว่า แผนกผมนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคนญี่ปุ่นที่ "เก๋า" มากๆก็เป็นได้ จะเพราะคนไทยมันทำงานกันเองได้ หรือไม่จำเป็นต้องมีใครมาคุม หรือแค่มีคนคอยเป็นหัวโขนให้ ฯลฯ ก็แล้วแต่จะคิดได้
ซึ่งผมไม่อยากไปคิดอะไรมากตรงนั้น เพราะคิดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แค่บ่นกับตัวเองก็เหนื่อยพอแล้ว ยังไม่รวมงานที่เขาสั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายถ้าเทียบกับตอนอยู่กับหัวหน้าเก่า
อารมณ์ว่าคนเก่า สั่งงานประมาณ 1 คนนี้สั่งประมาณ 10
แน่นอน ว่ามองในแง่ลบ มันคือการทำให้เราทำงานได้ยากขึ้น เยอะขึ้น และเหนื่อยมากขึ้น
แต่มองในแง่บวก ผมว่า มันทำให้ผมออกจาก Comfort Zone ได้โดยจำเป็น (เพราะ Fight บังคับ)
ไม่รู้จริง รู้มากขึ้น ก็ไม่ได้ ต้องรู้เอง ต้องทำเองเป็นให้หมด
เพราะมันไปหวังพึ่งหัวหน้าใหม่คนนี้ไม่ได้
นี่ยังไม่รวมว่า หัวหน้าใหม่จะโยนขี้ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าลูกน้องด้วยหรือเปล่านะ (ข้อนี้ก็ตอบไม่ได้อีก ต้องเล่นการเมืองล้วงตับกันอีกพักใหญ่ๆ)
แต่เอาเหอะ
ยังไงซะ ผมก็กะจะออกสิ้นปีอยู่แล้ว
ก็ทำไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่ม Skill การระแวดระวัง การคิดวิเคราะห์ และการประมวลผลเชิงลึกให้ตัวเองไปเรื่อยๆ ก็พอ
มองในแง่ดี
เราเก่งขึ้น
เรามีวินัยมากขึ้น
เราทำงานเร็วขึ้น
และเผชิญหน้าต่อสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น
คิดแบบนั้นละกันนะ
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำร้ายสัตว์ หมาแมวจรจัด มันไปทำอะไรให้(มึง) ครับ???
คือ ไม่เข้าใจว่า ทำไมโลกนี้มันจะมีอะไรโหดร้ายทารุณกันนักหนา
โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบหมา รักหมา
ผมว่ามันน่ารัก และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคน
แต่ทำไม ใน internet หรือโซเชี่ยลต่างๆ
ก็มักจะได้เห็นได้รับรู้ตลอดๆว่า หมาข้างถนนหรือหมาจรจัดทั้งหลาย ถูกคนใจร้าย ทารุณมันต่างๆนานา
ทั้งเอาปืนยิง
เอามีดฟัน
เอาน้ำร้อนราด
ขับรถชน
กระทืบจนตาย
วางยาเบื่อ
และ อีกมากมาย
คือ... ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องไปทำร้ายมันกันด้วย
คนที่ทำร้ายสัตว์ได้อย่างหน้าตาเฉย
คือ เขาไม่รู้จริงๆหรือ ว่า ในศาสนาพุทธ ศาสนาประจำชาติ ศาสนาที่เราเขียนเป็นภาษาไทยตัวสีฟ้าๆอยู่ในบัตรประชาชนของเรานั้น
เขาบัญญัติ "ศีลขั้นพื้นฐาน" ที่เรียกว่า "ศีล 5"
และข้อแรกจาก 5 ข้อนั้น
คือข้อ "ปาณาฯ" ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น นั่นรวมถึง ทั้งคน และสัตว์ต่างๆบนโลกนี้
คนที่เขาทำร้ายสัตว์ได้อย่างหน้าตาเฉย
ส่วนตัวคิดว่าต้องเป็นคนจิตใจโหดร้าย อำมหิต
แต่อยู่ๆ คนเหล่านั้น เกิดมา จะเหี้ยมโหดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
เขาคงได้เห็น ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขา "เหี้ยมโหด" ในตอนที่เติบโตขึ้นต่อๆมา
อาจจะมีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ใจร้ายอยู่ก่อน
หรือเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ "เฉยๆ" กับการรังแกและทำร้ายสัตว์อื่น
อันนี้ผมไม่รู้ได้ และไม่เข้าใจด้วย
ส่วนตัวผมคิดว่า ชายไทยส่วนใหญ่ น่าจะได้มีโอกาสได้รู้จักพุทธศาสนา
และได้มีโอกาสรับศีล 5 หรืออย่างน้อย ในบทเรียน ในตำรา หรือการได้เข้าวัดฟังธรรมในโอกาสต่างๆ ก็น่าจะนำพาให้พวกเขาได้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับพุทธศาสนาเกินไปนัก
แต่ทำไม เราถึงเห็นการทารุณกรรมสัตว์อย่างมากมายในประเทศนี้
ประเทศที่ได้ชื่อว่า "เมืองพุทธ"
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องอื่นๆอีกมากมายนะ
อย่างเรื่อง
การโกงกิน
การลักขโมย
การเป็นชู้ ผิดผัวผิดเมีย
การโกหก คอรัปชั่น
การดื่ม เมาแล้วขับ ชนแล้วหนี
การใช้กฏหมายที่ไม่ได้เรื่องได้ราว
ความเหลื่อมล้ำ
การเอารัดเอาเปรียบ
และอีกมากมายเหลือเกิน
แต่ผมแค่สงสัย
ว่าไอ้หลักการพื้่นฐานง่ายๆ
อย่าง "การทำร้ายผู้อื่น" เนี่ย
มันยากเกินกว่าจะเข้าใจตรงไหน
การทำร้ายสัตว์ต่างๆ ที่มีชีวิต มีจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ เหมือนๆกับเรา
ต่างกันก็แค่ "สมอง" กับ "สัญชาติญาณ" เท่านั้น
มันทำให้เราแบ่งชั้นกับสัตว์เหล่านั้นและเข้าใจว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับ "สิทธิอันชอบธรรม" ที่จะทำร้ายใครก็ได้.... งั้นเหรอ
การเป็นมนุษย์
คือการที่เรามีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสัตว์นั่นแหละ
แต่เรามี "อารายธรรม"
เรามี "การยับยั้งชั่งใจ"
เรามี "เหตุผล"
เรามี "ควาสำนึก"
นี่ต่างหากไม่ใช่หรือ คือสิ่งที่ทำให้เรา "อยู่สูงกว่าสัตว์"
ไม่ใช่เกิดมา มีสองขา เดินตัวตรง
ก็สูงกว่าสัตว์แล้ว
จะทำร้าย จะฆ่า จะทรมานมันยังไงก็ได้
ไอ้ที่ว่าทำร้ายสัตว์แบบน่าเกลียดๆก็ว่าทุเรศแล้วนะ
ไอ้พวกที่เอาสัตว์มาเลี้ยง แล้วทำร้ายมัน ทรมานมัน ยิ่งแล้วใหญ่
จะเอามาทำไมวะนั่น
ไม่เข้าใจ
ถ้าผมมีเงิน
ผมจะเอาหมาแมวจรจัดทุกตัวที่ผมเจอ มาเลี้ยงให้หมดเลย
ค่าอาหารค่าหมอเท่าไหร่ ผมจ่ายเอง ทำหมันให้หมด
แต่เหนือกว่านั้น
ถ้าคนในชาติ ในประเทศ ในศาสนานี้ ศาสนาเดียวกับผม
สามารถเข้าใจได้มากขึ้น
ว่า การ "ไม่เบียดเบียนผู้อื่น" นั้น มันสำคัญและควรจะต้องทำเพราะอะไร
ผมคงจะมีความสุขและสบายใจมากกว่านี้
โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบหมา รักหมา
ผมว่ามันน่ารัก และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคน
แต่ทำไม ใน internet หรือโซเชี่ยลต่างๆ
ก็มักจะได้เห็นได้รับรู้ตลอดๆว่า หมาข้างถนนหรือหมาจรจัดทั้งหลาย ถูกคนใจร้าย ทารุณมันต่างๆนานา
ทั้งเอาปืนยิง
เอามีดฟัน
เอาน้ำร้อนราด
ขับรถชน
กระทืบจนตาย
วางยาเบื่อ
และ อีกมากมาย
คือ... ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องไปทำร้ายมันกันด้วย
คนที่ทำร้ายสัตว์ได้อย่างหน้าตาเฉย
คือ เขาไม่รู้จริงๆหรือ ว่า ในศาสนาพุทธ ศาสนาประจำชาติ ศาสนาที่เราเขียนเป็นภาษาไทยตัวสีฟ้าๆอยู่ในบัตรประชาชนของเรานั้น
เขาบัญญัติ "ศีลขั้นพื้นฐาน" ที่เรียกว่า "ศีล 5"
และข้อแรกจาก 5 ข้อนั้น
คือข้อ "ปาณาฯ" ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น นั่นรวมถึง ทั้งคน และสัตว์ต่างๆบนโลกนี้
คนที่เขาทำร้ายสัตว์ได้อย่างหน้าตาเฉย
ส่วนตัวคิดว่าต้องเป็นคนจิตใจโหดร้าย อำมหิต
แต่อยู่ๆ คนเหล่านั้น เกิดมา จะเหี้ยมโหดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
เขาคงได้เห็น ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขา "เหี้ยมโหด" ในตอนที่เติบโตขึ้นต่อๆมา
อาจจะมีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ใจร้ายอยู่ก่อน
หรือเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ "เฉยๆ" กับการรังแกและทำร้ายสัตว์อื่น
อันนี้ผมไม่รู้ได้ และไม่เข้าใจด้วย
ส่วนตัวผมคิดว่า ชายไทยส่วนใหญ่ น่าจะได้มีโอกาสได้รู้จักพุทธศาสนา
และได้มีโอกาสรับศีล 5 หรืออย่างน้อย ในบทเรียน ในตำรา หรือการได้เข้าวัดฟังธรรมในโอกาสต่างๆ ก็น่าจะนำพาให้พวกเขาได้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับพุทธศาสนาเกินไปนัก
แต่ทำไม เราถึงเห็นการทารุณกรรมสัตว์อย่างมากมายในประเทศนี้
ประเทศที่ได้ชื่อว่า "เมืองพุทธ"
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องอื่นๆอีกมากมายนะ
อย่างเรื่อง
การโกงกิน
การลักขโมย
การเป็นชู้ ผิดผัวผิดเมีย
การโกหก คอรัปชั่น
การดื่ม เมาแล้วขับ ชนแล้วหนี
การใช้กฏหมายที่ไม่ได้เรื่องได้ราว
ความเหลื่อมล้ำ
การเอารัดเอาเปรียบ
และอีกมากมายเหลือเกิน
แต่ผมแค่สงสัย
ว่าไอ้หลักการพื้่นฐานง่ายๆ
อย่าง "การทำร้ายผู้อื่น" เนี่ย
มันยากเกินกว่าจะเข้าใจตรงไหน
การทำร้ายสัตว์ต่างๆ ที่มีชีวิต มีจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ เหมือนๆกับเรา
ต่างกันก็แค่ "สมอง" กับ "สัญชาติญาณ" เท่านั้น
มันทำให้เราแบ่งชั้นกับสัตว์เหล่านั้นและเข้าใจว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับ "สิทธิอันชอบธรรม" ที่จะทำร้ายใครก็ได้.... งั้นเหรอ
การเป็นมนุษย์
คือการที่เรามีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสัตว์นั่นแหละ
แต่เรามี "อารายธรรม"
เรามี "การยับยั้งชั่งใจ"
เรามี "เหตุผล"
เรามี "ควาสำนึก"
นี่ต่างหากไม่ใช่หรือ คือสิ่งที่ทำให้เรา "อยู่สูงกว่าสัตว์"
ไม่ใช่เกิดมา มีสองขา เดินตัวตรง
ก็สูงกว่าสัตว์แล้ว
จะทำร้าย จะฆ่า จะทรมานมันยังไงก็ได้
ไอ้ที่ว่าทำร้ายสัตว์แบบน่าเกลียดๆก็ว่าทุเรศแล้วนะ
ไอ้พวกที่เอาสัตว์มาเลี้ยง แล้วทำร้ายมัน ทรมานมัน ยิ่งแล้วใหญ่
จะเอามาทำไมวะนั่น
ไม่เข้าใจ
ถ้าผมมีเงิน
ผมจะเอาหมาแมวจรจัดทุกตัวที่ผมเจอ มาเลี้ยงให้หมดเลย
ค่าอาหารค่าหมอเท่าไหร่ ผมจ่ายเอง ทำหมันให้หมด
แต่เหนือกว่านั้น
ถ้าคนในชาติ ในประเทศ ในศาสนานี้ ศาสนาเดียวกับผม
สามารถเข้าใจได้มากขึ้น
ว่า การ "ไม่เบียดเบียนผู้อื่น" นั้น มันสำคัญและควรจะต้องทำเพราะอะไร
ผมคงจะมีความสุขและสบายใจมากกว่านี้
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558
จบสิ้นเดือน กค. เหลือเวลาชีวิตลูกจ้างอีก 153 วัน!!!
วันเวลามันผ่านไปเร็วดีจริงๆ ให้ตายเหอะ
ตอนแรกกะว่าจะพิมพ์ content ทุกวัน เก็บไว้เป็น Diary เตือนใจถึงช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดในชีวิตการทำงานประจำ ก่อนจะออกมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับแฟนตัวเอง
แต่พอทำๆไป ก็ยิ่งพาให้ตัวเองเข้าโหมด "เบื่อโลก" มากขึ้นทุกทีๆ
กลับบ้านไป ไม่ต้องพูดเรื่องออกกำลังกาย
นั่งหน้าคอมเมื่อไหร่คือเมื่อนั้น เผาเวลาหมดไปกับการทำ Online Marketing ที่ไม่ได้ "เต็มที่" ซะเท่าไหร่
งานที่ยังต้องทำก็เหลืออีกมากเหลือเกิน
- สร้างเว็บไซต์หน้าร้านให้ร้านผ้าม่าน
- สร้างโฆษณาใส่ Adwords เองให้เป็นให้ได้
- เพิ่ม Content ดันอันดับ Affiliate ที่ทำของตัวเอง
นี่ยังไม่รวมการฝึกฝนให้เก่งเรื่องทำ Stock Vector อีกนะ
แค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว Target กูจะ Challenge ไปไหนวะ
แต่ก็เอาน่ะ
ยังไงๆก็ต้องทำ
มันเป็นหน้าที่ ไม่งั้น จะเอาอะไรกินล่ะจริงมั้ย 5555
ว่าแล้วก็กลับไปทำงานประจำต่อรัวๆ
(ยังไม่ได้ลาออกนี่นา)
ตอนแรกกะว่าจะพิมพ์ content ทุกวัน เก็บไว้เป็น Diary เตือนใจถึงช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดในชีวิตการทำงานประจำ ก่อนจะออกมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับแฟนตัวเอง
แต่พอทำๆไป ก็ยิ่งพาให้ตัวเองเข้าโหมด "เบื่อโลก" มากขึ้นทุกทีๆ
กลับบ้านไป ไม่ต้องพูดเรื่องออกกำลังกาย
นั่งหน้าคอมเมื่อไหร่คือเมื่อนั้น เผาเวลาหมดไปกับการทำ Online Marketing ที่ไม่ได้ "เต็มที่" ซะเท่าไหร่
งานที่ยังต้องทำก็เหลืออีกมากเหลือเกิน
- สร้างเว็บไซต์หน้าร้านให้ร้านผ้าม่าน
- สร้างโฆษณาใส่ Adwords เองให้เป็นให้ได้
- เพิ่ม Content ดันอันดับ Affiliate ที่ทำของตัวเอง
นี่ยังไม่รวมการฝึกฝนให้เก่งเรื่องทำ Stock Vector อีกนะ
แค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว Target กูจะ Challenge ไปไหนวะ
แต่ก็เอาน่ะ
ยังไงๆก็ต้องทำ
มันเป็นหน้าที่ ไม่งั้น จะเอาอะไรกินล่ะจริงมั้ย 5555
ว่าแล้วก็กลับไปทำงานประจำต่อรัวๆ
(ยังไม่ได้ลาออกนี่นา)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)