ล่าสุดเพิ่งได้อ่าน ดราม่า นักศึกษาคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยของจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย ม.
ได้มีการข่มขู่อาจารย์ในเฟซบุค ไม่ว่าจะเอาภาพโลงมาขู่ หรือรูปอาวุธต่างๆ รวมไปถึงขู่จะข่มขืนหรือลงแขก อะไรเทือกนั้น
จนในเว็บดราม่าของจ่า เอามาลงให้อ่าน จึงได้เริ่มรู้เรื่องกับเขาบ้าง
ต้นเรื่อง อยู่ที่อาจารย์ท่านนั้น ท่านไม่เห็นด้วย กับการรับน้องที่เรียกว่า โซตัส ซึ่งแต่ละสถานที่ก็คงแตกต่างกันไป ยิ่งคณะที่มีแต่ผู้ชายมากๆ ก็ยิ่งดิบเถื่อน บ้าบอ หนักข้อกว่าที่ที่มีผู้หญิงอยู่เยอะๆ
ซึ่งผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนวิศวะฯ และได้ผ่านการรับน้องแบบประหลาดๆและโหดๆตามประสาโซตัสในยุคปลายศตวรรษที่ 20 มา เช่นเดียวกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ หลายรุ่น
ส่วนตัวผมคิดว่า มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างออกไปจากเดิมเท่าไหร่หรอกนะครับ ไอ้เรื่องรับน้องหรือโซตัสเนี่ย
แต่เพราะ สมัยนี้ Social Network มันค่อนข้างแพร่หลาย
การเข้าถึงข้อมูล หรือการแชร์เรื่องราวเหล่านี้ มันเลยหลุดมาให้คนนอกได้เห็นค่อนข้างมาก
แน่นอน คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น คงไม่ได้รับรู้หรอกว่า จะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร
ส่วนคนที่อยู่ตรงนั้น ทั้งรุ่นพี่ ที่แบกอีโก้ ที่ต้องทำตามอย่างที่ตัวเองเคยโดนมา หรือรุ่นน้อง ที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ว่าจะหันหน้าไปพึ่งพาใครหรือให้ใครช่วยเหลือได้
จะโดด จะหนี ก็กลัวจะถูกครหา หาว่าไม่รักเพื่อน ไม่รักรุ่น
เอาจริงๆ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่นักกับหลายๆเรื่อง แม้ผมจะเป็นพี่ว้ากคนหนึ่งก็ตาม สาเหตุและปัจจัยมีหลายข้อครับ
1. คือ การกระทำที่รุนแรงเกินไป มันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีกับสภาพจิตใจและร่างกายเท่าไหร่นัก แน่นอน การฝึกให้มีความอดทนเป็นเรื่องดี แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า การให้น้องๆเดินนานๆ หรืออดน้ำ ทนร้อน อึดอัด ร้องเพลงอยู่ในห้องอบอ้าว จะเป็นเรื่องดีไปซะทีเดียว
2. รุ่นพี่ส่วนใหญ่ ชอบเอาเรื่อง "การทำงานในโลกความเป็นจริง" มาอ้างถึง เอาจริงๆ รุ่นพี่เหล่านั้นก็ไม่ได้รู้หรอกว่า ทำงานจริงๆน่ะเป็นยังไง แต่ก็ยังมาสอนรุ่นน้องที่มีอายุห่างกันแค่ปีเดียวได้ ถ้ามองจากมุมมองคนทำงานแล้ว ก็ต้องบอกว่า ไร้สาระ สิ้นดีเลยครับ เพราะเราต่างรู้ว่า จะเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมได้ "ความอดทน" เป็นแค่เรื่องๆหนึ่งที่ควรทำเท่านั้น ซึ่งมันยังมี "ไหวพริบ" "การเอาตัวรอด" "ความเป็นผู้นำ" "ทักษะการนำเสนอ" "การสื่อสาร" และอะไรอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องฝึกฝน
3. สมัย 10-20 ปีที่แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในกิจกรรม มันไม่มีใครรับรู้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันไม่มี FB จะทำอะไร ก็ทำกันไป ว้ากดังว้ากโหดแค่ไหน ก็จัดกันไป พอกิจกรรมจบ ผ่านไป ปี สองปี มันก็กลายเป็นเรื่องเล่าขาน รุ่นนั้นโหดนะ รุ่นนี้โหดกว่า... กลายเป็น Viral เหมือนเพิ่มความขลังให้มัน เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้รุ่นพี่โดยที่รุ่นน้องไม่รู้หรอกว่า อะไรจริงอะไรมั่ว ซึ่งพอมายุคนี้ มี FB คนเขาก็รู้กันหมด ว่าที่ไหน ทำอะไร ยังไง และที่สำคัญ "ทำไปแล้วได้อะไร"
คำถามพวกนี้ เอาจริงๆ ตอบได้ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะถูก เพราะแต่ละเรื่อง แต่ละกิจกรรม ย่อมมีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ยิ่งมีเรื่อง "ความรุนแรง" และ "สุขภาพ" มาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยิ่งหนักครับ
ผมเลยเห็นว่า สมัยนี้ รูปแบบการรับน้อง หรือ โซตัสก็ดี น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามยุคสมัย ไม่ใช่ถืออะไรมาก็ทำกันต่อไปแบบเดิมๆ 30 ปีที่แล้วทำยังไง เดี๋ยวนี้ก็ทำอย่างนั้น ใช่ครับ ทำได้ แต่ผมว่ามันไม่เหมาะแล้ว มันต้องเปลี่ยน
เวลาเปลี่ยน ยุคเปลี่ยน อะไรต้องเปลี่ยนตามครับ ไม่งั้นเราจะก้าวไม่ทันโลก
ผมไม่ได้บอกให้ยกเลิกโซตัส หรือการรับน้อง
แต่ผมอยากให้รูปแบบ มันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อะไรบ้าง ตามสมัย และสังคมที่เปลี่ยนไป
เรื่องว้าก จะมีก็ได้ครับ ไม่ได้ห้าม แต่ ก็ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ใช่ว้ากแม่งทั้งปีทั้งชาติ 24 ชม. อะไรอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ สตอรี่มันต่างออกไปแล้ว พี่ว้ากจะมาดราม่า เด็กๆมันไม่อินแล้วครับ
ลองเปลี่ยนเป็น สร้างโจทย์ ให้เขาไปทำกันดูก็ได้ครับ เช่น ให้ไปช่วยกันทำความสะอาดวัด โรงเรียน ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม โดยให้อยู่ในความดูแลของรุ่นพี่
สร้างโจทย์ให้น้องๆ ช่วยกันทำสิ่งใหม่ๆ และเอาผลงานเป็นตัวชี้วัด แทนที่จะมานั่งดูว่า รุ่นนี้ เชื่อฟังดีมั้ย ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งดีมั้ย มันไม่ใช่วัวควายเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ ที่จะต้องมานั่งทนโดยไม่รู้อะไรเลย ยิ่งมีคนหัวขบถ ออกมาต่อต้าน พี่ว้ากก็ยิ่งไม่ชอบ เพราะดูจะทำให้ตัวเองมีอำนาจน้อยลง บลาๆๆ
อย่าไปยึดติดรูปแบบเดิมๆครับ เปลี่ยนมันบ้าง อะไรที่มันเก่า ก็เอามาคิดใหม่ รีโนเวทใหม่ ไม่ได้ห้ามครับ แต่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
จริงๆ รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็น่าจะเข้ามามีส่วนร่วม สร้างแนวคิด ออกไอเดียใหม่ๆให้น้องๆได้เห็น ได้เข้าใจว่าโลกเรามันไปถึงไหนอะไรยังไงบ้างแล้วครับ น่าจะช่วยได้เยอะ
....
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เหนือสิ่งอื่นใดครับ คือ การ "ตอบโต้"
โดยเฉพาะ ใน Social Network
สถานที่ซึ่งคนทั่วไปชอบคิดว่าเป็นที่ "ส่วนบุคคล" จะทำอะไรจะพูดอะไรยังไงก็ได้
มันไม่ใช่ครับ
ถ้าคุณไปคุกคาม ข่มขู่ ละเมิด หรือหมิ่นประมาทผู้อื่น เขาเอาเรื่องได้ครับ
เพราะทำให้เขาเสียหาย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
เรื่องพวกนี้ ควรต้องมีการให้ความรู้เด็กๆทุกคนอย่างทั่วถึง
ผมสังเกตุเห็นว่า เด็กประถมสมัยนี้ ก็เล่น FB , IG กันแล้ว แต่ไม่ค่อยจะมีใครสอนเรื่องมารยาทพวกนี้ให้พวกเขาได้ทราบเท่าไหร่ เกรียนไทยมันเลยเยอะครับ ถ้าเอาเรื่องกันจริงๆ ตำรวจคงได้ค่าปรับกันอีกเยอะอ่ะครับผม
เพราะงั้น ไอ้การ "แสดงความคิดเห็น" จึงต้องมีขอบเขตครับ
อาจารย์ท่านนั้น ท่านก็มีมุมมองของท่าน ต่อกิจกรรมๆหนึ่ง ซึ่งท่านก็เคารพและไม่ได้สอดแทรกไปในเนื้อหาว่า ใครผิด ใครชั่ว ใครไม่ดี ก็แสดงความเห็นไปตามที่คิด
แต่อนิจจัง เหล่าเด็กน้อยปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม กลับเอาไปคุยฟุ้งข่มทับ จะเอาพวกมากมาลากอาจารย์ไปยำมาม่า เอาให้ถึงตายกันเลยทีเดียว
และสุดท้าย ก็ออกมาบอกว่า ล้อเล่น หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะ ความเป็นเด็ก
กฏหมายไทยบอกไว้ว่า เยาวชนคืออายุไม่เกิน 18 ปี
เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คงมีส่วนน้อยครับ ที่ไม่ถึง 18 ปี
เพราะงั้น ระวางโทษเท่ากับคนปกตินะครับ
เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี
เพราะถึงแม้อาจารย์คนดังกล่าว จะบอกว่าไม่เอาเรื่อง
แต่ถ้าถามว่า ถ้าอาจารย์คนนั้นเป็นน้องสาวผมล่ะก็
เด็กๆทั้งหลาย ได้ขึ้นโรงพักกับผมแน่นอนครับ
Facebook/page/ระบายศรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น