วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่อยากบอกกับน้องๆนักศึกษา #1 - การฝึกนิสัยออมเงิน

ผมนั่งคิดนอนคิดมาตลอดว่า
ถ้าผมมีโอกาส ได้ไปพูดหรือบรรยายให้น้องๆนิสิตนักศึกษาสักกลุ่มนึงฟัง
ผมอยากจะพูดเรื่องอะไรที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับพวกเค้าได้บ้าง

จริงๆมันมีเรื่องราวนับร้อยนับพันที่ผมคิดว่าผมน่าจะพูดและควรพูด

แต่ถ้าให้เรียบเรียงลำดับและเริ่มจากเรื่องแรกว่าควรเป็นเรื่องอะไรดี?

คำตอบของผมคือ "การออมเงิน" ครับ

แน่นอน กว่าครึ่งของนักศึกษาที่จบออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย ก็มักจะต้องเริ่มต้นชีวิต "ผู้ใหญ่" ด้วยการทำงานประจำ เป็นลูกจ้าง กินเงินเดือน

แม้หลังจากนั้น 5 ปี 10 ปี อาจจะแตกต่างกันไป แต่ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเลยในชีวิตของพวกเราทุกคนก็คือ

"เรื่องเงิน"

มันสำคัญเป็นอันดับต้นๆของชีวิต

ถ้าอยากจะดูว่าเรื่องไหนสำคัญ ก็ให้ดูว่า เวลาหมอดูเขาดูดวง เขามักจะดูดวงเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง นั่นแหละ เรื่องสำคัญในชีวิตคนเรา

การงาน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว และ การเงิน...

และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า หากย้อนเวลาได้ ผมอยากจะกลับไปแก้ไขมันมากเป็นอันดับต้นๆของชีวิตผมคือ

"การออมเงิน" ครับ

ผมเองก็เหมือนคนทั่วๆไป วัยรุ่นส่วนใหญ่ ที่คิดว่า เงินเดือนแค่นี้ ยังไม่ต้องรีบเก็บเงินหรอก เดี๋ยวพอมีเงินเยอะๆแล้วค่อยเก็บ

ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เลยครับ

สาเหตุก็เพราะ

1. คำว่า "เดี๋ยวรอให้มีเงินเยอะกว่านี้" นั้นมันคือ "เมื่อไหร่" ใครบอกได้บ้าง ยิ่งถ้าเงินเดือนเริ่มต้น 15000 แล้วบอกว่า ถ้ามีเงินเดือนสัก 1 แสน แล้วค่อยเก็บ ถามว่า แล้วมันคือเมื่อไหร่กันล่ะ เรารู้ล่วงหน้าได้มั้ย คนบางคน ทำงานมาเป็นสิบปี ยังมีเงินเดือนไม่ถึง 5 หมื่นเลยก็เยอะ แล้วเราล่ะ แน่ใจแค่ไหนว่า จะมีเงินเดือนหรือรายรับได้ขนาดนั้น ในเวลาที่กำหนด ซึ่งเราก็ไม่ค่อยจะวางแผนมันได้เสียด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ารอให้มีเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ เชื่อเถอะครับ ส่วนมาก เวลานั้น มักมาไม่ถึง

2. ความเสี่ยง การออม มีประโยชน์อย่างแรกเลยคือ มีเงินสำรองไว้ใช้เวลาจำเป็นครับ จะรู้ได้ไงว่า ชีวิตเราจะไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพานบ้างเลย ญาติๆเรา ครอบครัวเรา จะสุขสบายหายห่วงกันทุกคน เชื่อเถอะครับ อยู่ๆไป วันนึง ก็มักจะมีเหตุให้ต้องเสียเงินเสียทองเป็นธรรมดา ยิ่งใครที่มี รถยนต์ จะรู้ได้เลยว่า มันไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมัน มันมีค่าประกันภัย ค่า พรบ. ต่อทะเบียน ใบสั่ง ซ่อมนู่นนี่นั่น และจิปาถะอีกเยอะ ยิ่งถ้าใครแต่งรถด้วยแล้ว ไม่อยากจะพูดครับ

ส่วนใครที่ไม่มีรถ ก็อย่าเพิ่งนอนใจ เพราะเรื่องอุบัติเหตุ หรือสุขภาพ มันก็มีความเสี่ยงรอบๆตัวเราทั้งนั้น ถ้าใครตระหนักได้เร็วหน่อย ก็อาจเริ่มจากประกันภัยหรือประกันชีวิต ซึ่งแน่นอน มันก็มีค่าเบี้ยที่ต้องจ่าย ส่วนมากเป็นรายปี (ไอ้ที่บอกว่าจ่ายรายเดือนได้น่ะ มีครับ แต่ส่วนใหญ่ ก็เสียดอกเบี้ย และพอรวมๆกันแล้ว มากกว่าจ่ายรายปีแน่นอน สู้เก็บออมเองทีละเดือนๆ แล้วสิ้นปี จ่ายทีเดียว ง่ายกว่าครับผม)

3. ที่สำคัญที่สุด คือ "การฝึกนิสัย" ครับ เชื่อมั้ยครับ นิสัยต่างๆนั้น ฝึกได้ ถ้าเราทำมันซ้ำๆจนชิน เป็นกิจวัตร และยิ่งทำซ้ำๆ มันจะเกิดทักษะ ทำให้เราทำได้ดีขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ซึ่งการออมเงิน ก็เป็น "นิสัย" หนึ่ง คนที่ทำเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าจะทำได้ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ทำเลย ก็แน่นอนครับ ปลายทางมันจะแตกต่างกันสุดๆ กับคนที่ทำ

4. ข้อสุดท้าย คือ "ปลายทาง" ครับ รู้มั้ยครับ ว่า ถ้าเราเริ่มออมตอนนี้ เร็วขึ้นกว่าเดิมปีนึง หลังจากเราออมได้ 20 หรือ 30 ปี มันจะกลายเป็นเงินเท่าไหร่

รู้จัก "ดอกเบี้ยทบต้น" มั้ยครับ สิ่งที่ไอน์สไตน์ บอกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างของโลก ใช่ครับ อำนาจของมันมหาศาล ถ้าเราคำนวณด้วยสูตร Excel เป็น เราแค่คำนวณให้เงินต้นเราเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 10% รู้มั้ยครับ ว่าผ่านไป 30 ปี เราจะมีเงินมากกว่าเดิมกี่เท่า

17 เท่าครับ จากเงินต้น 5000 บาท จะกลายเป็น 87000 บาท นี่ในกรณีที่เราไม่ได้ออมเพิ่มเลยนะครับ

และถ้าเราออมเพิ่มทุกปีๆละเท่าๆกันที่ 5000 บาท หลังจาก 30 ปี จะมีเงินรวมทั้งสิ้น 9.9 แสนบาทครับ คิดเป็น 6 เท่าของเงินฝากของเราทั้งหมด

แล้วถ้าเราออมเพิ่มจากปีละ 5000 เป็นเดือนละ 1000 เท่ากัน 12 เดือน กลายเป็น 1 ปี ออมได้ 12000 บาทล่ะครับ

หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 2.2 ล้านครับ

และถ้าเราเอาเงินจาก โบนัส เพิ่มไปอีก 1 หมื่นบาท ทุกๆสิ้นปี กลายเป็นออมได้ปีละ 22000 บาทล่ะก็
หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 4 ล้านบาท ครับ

ซึ่งถ้าเราเลือกออมในกองทุ้นที่มีผลตอบแทนคงที่หรือมีความเสี่ยงต่ำแล้วล่ะก็ ตัวเลขพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเท่าไหร่นัก มีเงิน 4 ล้าน ย่อมดีกว่าไม่มี ถูกมั้ยครับ และ 10% ที่ผมยกมา ก็เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น ซึ่ง จริงๆแล้ว มันจะไปอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" มากกว่า การออม

จริงๆการออมมันช่วยเรื่อง "ฉุกเฉิน" มากกว่าเรื่อง "ผลตอบแทน" ครับ

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ข้อ 3 ครับ การฝึก "นิสัย" ที่จำเป็น สำคัญมากๆ ที่เราต้องฝึกมัน

เด็กๆหลายๆคนมองว่า สิ่งที่เราควรฝึก คือเรื่อง "งาน" มันก็ไม่ผิด แต่ต้องอย่าลืมครับ คนส่วนมาก ไม่ได้คิดว่าอยากจะทำงานไปจนตาย วันหนึ่ง ก็อยากจะไปทำอย่างอื่น และไอ้อย่างอื่นนั้นน่ะ มันคืออะไรล่ะครับ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก ถ้ามันมี มันก็ดี แต่ไอ้สิ่งที่รักนั้นน่ะ สร้างรายได้ให้เราเพิ่มขึ้นได้บ้างหรือเปล่า

ถ้าไม่ เราจะทำมันต่อมั้ย

หรือจะฝึกมันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสร้างรายได้ให้เราได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเราพอใจ และวันหนึ่ง เราอาจมีรายได้จากงานประจำ และรายได้จากงานไม่ประจำ พอๆกัน เราอาจจะเก็บเงินได้มากขึ้น ศึกษาเรื่องเงินเก็บและการลงทุนได้มากขึ้น จนวางแผนระยะยาวให้ชีวิตเราได้ดีขึ้น

ถามหน่อยครับ ทำงานแล้ว อยากซื้อบ้านไหม อยากมีรถไหม อยากมีครอบครัว อยากแต่งงานไหม อยากมีลูกไหม ทุกสิ่งอย่างมันใช้เงินหมดครับ

แต่เราเองนั่นแหละ ที่คิดว่า เดี๋ยวพอจะเอา จะทำ มันก็จะมีเงินไหลมาเอง

ลองคิดดูให้ดีๆครับ มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า พอเราไม่มีเงิน ก็ต้องไปหายืมจากครอบครัว คนรู้จัก หนักๆหน่อยก็สถาบันการเงิน พวกบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต พวกนี้ ดอกเบี้ยหนักมากๆครับ

จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีเงินสักก้อน ที่สามารถรองรับ สำหรับแผนการณ์ในอนาคตได้ดีกว่าที่เป็น

ซึ่งนั่น คือวัตถุประสงค์ของเงินออมครับผม

ออมกันเสียแต่วันนี้ครับ

สร้าง "นิสัย" ที่ก่อให้เกิด "ตัวเงิน"

ตอนนี้ ไม่มีเงิน ก็มี "นิสัย" ที่ดีก่อน

ดีกว่า ไม่สร้างอะไรเลย และก็ไม่มีอะไรเลย ในท้ายที่สุดครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น