วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่อนไหว หรือ อ่อนแอ

ช่วงเดือนหลังๆนี่ ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนสมัยประถม ซึ่งก็เป็นแค่กลุ่มในไลน์ที่มีกันประมาณ 100 คน

ในนั้นก็จะแตกเป็นห้องใหญ่ ห้องเล็ก อะไรอีกสารพัด

ผมเข้าไป ส่วนใหญ่ ก็อ่านผ่านๆ ไม่ได้สนใจจะดูหรือร่วมสนทนาอะไรนัก

เพราะว่าผมเองไม่ได้สนิทกับพวกเขาเท่าไหร่ ห่างหายกันไปจากตอนประถมก็ร่วม 20 ปี และหลังจากนั้นก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย การเงียบและอ่านอย่างเดียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น

แต่หลังจากมีการแบ่งกลุ่มย่อยกลุ่มเล็ก แล้วแตกออกมาเป็นกลุ่ม "ชลบุรี-ระยอง" ก็เหลือสมาชิกแค่ไม่กี่คน ซึ่งก็สามารถนัดมากินข้าวกันได้ไม่ยากนัก

พอได้มาเจอกัน นั่งคุยกัน มันก็ประหลาดๆดี เหมือนคนไม่ได้เจอกันนาน แต่มันมีความเป็นเพื่อนฝังอยู่ เลยไม่ต้องรู้สึกว่าต้องเกรงใจหรือประหม่าอะไรเท่าไหร่นัก ก็คุยกันเล่นกันได้ตามปกติ

มีเพื่อนคนนึงชื่อ ต. เป็นคนที่ดูท่าทางจะกวนๆหน่อย เสียงเข้มๆ และดูเหมือนจะมีความเป็นตัวเองสูง เพื่อนอีกคนชื่อ อ. เป็นคนตลกๆ เล่นมุขตลอดเวลา แต่ไม่หยาบคาย ดูเข้ากับคนได้ทุกคน

หลังจากนัดกินข้าวผ่านไป ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเขินน้อยลงจนสามารถพูดหรือแลกเปลี่ยนอะไรในห้องนี้ได้บ้างแทนที่จะเงียบอย่างเดียว

ล่าสุด อ.ได้เปิดประเด็นถามเพื่อนในกลุ่มว่า จะทำยังไงเกี่ยวกับน้องที่ทำงานที่ Performance งานมันไม่ได้เรื่อง แถมทัศนคติก็ห่วยดี

ผมเลยแนะนำให้คุยกับน้องเขาไปตรงๆ ว่าทำงานมา 4-5 ปีแล้วเนี่ย เข้าใจเรื่อง Mindset ขององค์กร หรือ Roadmap ระยะยาวบ้างหรือเปล่า

ซึ่งถ้าคุยแล้ว เขาไม่เข้าใจ หลายครั้งหลายรอบก็ยังมองอะไรผิดๆอยู่ ก็บอกเขาให้ไปหางานใหม่หรือโอกาสในชีวิตใหม่ๆเพื่อตัวเองดีกว่า ไม่ใช่มาเผาเวลาทิ้งไปวันๆกับงานหรือองค์กรที่มันไม่ใช่ตัวเองแบบนี้

จริงๆผมไม่ได้พูดไปแค่นั้นหรอกนะ แต่เยอะเลยทีเดียวล่ะ อย่างเช่นที่ว่า ทำไมต้องเอาเด็กแบบนั้นออกไป เพราะว่า ธรรมชาติของคนเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีขึ้นหรอก มันมีแต่แย่ลง ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ คนอื่นๆจะแย่ตาม เพราะเห็นว่า ทีไอ้หมอนั่นยังทำได้เลย แถมยังได้ผลดีกับตัวเองอีกตะหาก แถมบริษัทก็ไม่ทำอะไรด้วย หรือ อย่าปล่อยให้ปลาให้บ่อตัวเองเน่า เพราะมันจะเน่าต่อๆกันไป จนสุดท้าย เราเองที่จะต้องได้ผลงานจากฝีมือของลูกน้อง ก็จะพาลฉิบหายไปด้วย

และ บลาๆๆ อีกมากมาย

ปรากฏว่า เพื่อน ต. ที่อ่อนไหวผิดกับสีหน้าท่าทางที่ดูห้าวเกินตัว ก็ออกจากกลุ่มนี้ไป และไปกดออกจากกลุ่มอื่นๆอีกหลายกลุ่มแบบรัวๆ

ไอ้ผมก็แบบว่า "เฮ้ย นี่มึงเอาจริงดิ" คือตอนนั้นคิดประมาณว่างงมาก ที่ไอ้การที่เราเม้นต์ความเห็นส่วนตัวแบบชัดๆลงไป จะทำให้เพื่อนคนนึงหวั่นไหวและมีสภาพร่องแร่งจนน่าเป็นห่วง ได้ข่าวมาว่าหมอนั่นมีปัญหาเรื่องงาน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ ยิ่งพวกเราตอนนี้ก็อายุประมาณ 30 กว่าๆกันแล้ว มันพ้นวัยจะมาง้องแง้งเรื่องงานประจำแล้วป่าววะครับ

ถ้าไม่ชอบ ก็ออกไปหางานใหม่ที่ชอบสิ

ถ้าอยากทำอะไรแล้วเขาไม่รับ ก็ไปฝึกฝีมือจนเก่งและเขาอยากรับก่อน ค่อยมาเวิ่นเว้อโวยวาย

จริงๆมันก็มีอีกหลายคนที่บ่นเรื่องงานประจำนะ
แต่ส่วนตัวผมเอง ผมว่าผมหลุดพ้นจากตรงนั้นมาแล้วอ่ะ

ไม่ได้ว่าชอบหรือรักงานประจำอะไรมากมายนะครับ แต่ตอนนี้ผมเหมือนรอเวลาออกเสียมากกว่า (ถ้าใครตามอ่านเรื่องนับถอยหลังก็คงพอจะรู้อ่ะนะ)

จริงๆอยากบอกเพื่อนทุกคนว่า "ถ้ามึงไม่ชอบอะไรที่อยู่ในชีวิตตัวเองตอนนี้ ก็เปลี่ยนมันซะ ถ้ามันไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที ก็ค่อยๆเปลี่ยนซะ อาจจะช้า อาจจะนาน แต่ถ้าไม่เริ่มในวันนี้ วันข้างหน้ามันก็ไม่มาถึงหรอก"

แต่ก็ดันลืมคิดไปอีกว่า อาจจะมีเพื่อนบางคนที่มันอ่อนแอ เพราะอ่อนไหวอยู่ด้วย ไอ้เราก็เป็นพวกแจกยาขมเสียด้วยสิ 5555 ไอ้เรื่องจะไปง้อใครที่เราไม่ได้ผิดเนี่ย ไม่ไหวๆ ทำไม่ได้จริงๆ ไม่รู้จะเริ่มยังไง

เอาเป็นว่า สำหรับใครที่หนักใจกับงานประจำ หรือเจ็บปวดกับการค้นหาตัวเอง หรือพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่ๆควรอยู่ และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นก็เรียกร้องหาวันหยุดหรือเวลาที่จะได้ไปตามนัดกับเพื่อน

ผมว่า พวกคุณกำลังมา "ผิดทาง" นะครับ

การที่ไม่มีอย่างอื่นให้โฟกัสเลย นอกจาก "ความทุกข์" ชีวิตคุณจะไม่มีความสุขหรอก

แต่ถ้าคุณหาสิ่งที่คุณอยากทำ และ คุ้มที่จะทำ เจอ

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีครับ
ทำซะ
ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกวัน อีกเดือน อีกปี
และก็มานั่งเสียใจกับตัวเองว่า ปีนึงที่ผ่านมา ทำไมไม่มีอะไรในชีวิตกูที่มันดีขึ้นเลยวะ

คำตอบสั้นๆ

คุณไม่ลงมือเปลี่ยนมันเองนี่(หว่า)ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น