วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

เหลืออีก 92 วันของการเป็นลูกจ้าง - สิ่งที่ผมอยากฝากน้องๆในที่ทำงาน

1. จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ

ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างก็เกิดขึ้นได้เสมอรอบตัวเรา และส่วนใหญ่ เราจะรับมือกับมันไม่ค่อยทันเสียด้วย เพราะฉะนั้น การ "เตรียมพร้อม" ในหลายๆด้าน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆกับการทำงานทุกวันให้ดีที่สุด

2. เมื่อเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ อะไรๆมักไม่ดีขึ้นกว่าเดิม

ร้อยละ 80-90 เมื่อมีการเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม โอกาสที่จะได้หัวหน้าที่ดีกว่าเก่านั้น ยากเหลือเกิน เคสเดียวที่ผมรู้สึกว่าจะได้หัวหน้าใหม่ที่ดีขึ้นก็คือ เมื่อหัวหน้าเก่ามันห่วยแตกเสียสิ้นดี และการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น นั่นแหละ จึงจะทำให้เราได้หัวหน้าใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ในกรณีอย่างเช่น หัวหน้าทำงานหมดวาระ ต้องไปประจำสาขาอื่น (เพราะทำงานดี) หรือมีการโยกย้ายแผนกกันของระดับบริหาร ตัวอย่างพวกนี้ มักได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ลูกน้องต้องเผชิญกับหัวหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่นัก

3. อย่าอยู่ใน Comfort Zone นานจนเกินไป

เมื่อเราทำงานได้ระดับหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เรายัง "อยู่ได้" นอกจาเรื่องหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของ "ความเคยชิน" ที่นับเวลาผ่านไปก็จะยิ่งทำให้หลายๆอย่าง "ฝังลึก" เข้าไปในโครโมโซม ทางความคิดและพฤติกรรมเรามากขึ้น

หัวหน้าบางคนไม่ได้สนใจข้อเสียของลูกน้องและไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมันเพราะยังทำงานได้ แต่ในระยะยาว นิสัยไม่ดียังไงซะ ก็จะกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้อย่างแน่นอน

4. อย่าทำแต่งาน

หลายๆคนพอได้เข้าทำงานที่มีความมั่นคง บริษัทดูจะไม่เจ๊งไปได้ง่ายๆ ก็ทำไปเรื่อยๆ สักแต่ว่าทำๆไป รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมา 3 ปี 5 ปี แล้ว ตัวเองยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหนเท่าไหร่ไกลเลย ขณะที่เพื่อนๆคนอื่นของเราต่างก็เริ่มมีความก้าวหน้าให้เห็นบ้างแล้ว แต่เรายังคงเหมือนเดิมตลอด

เป็นเพราะเราเริ่มมี "นิสัยพนักงานประจำ" ที่เกือบๆจะเหมือน "เช้าชามเย็นชาม" ยิ่งถ้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นด้วยแล้ว เขาไม่ได้สนใจว่าเราจะมีความสุขนอกที่ทำงานด้วยหรือเปล่า แค่เข้ามาที่บริษัท ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น และกลับบ้าน ที่เหลือ เรื่องของคุณ

นั่นคือประเด็นที่ทำให้เรามีข้ออ้างอย่างสม่ำเสมอที่จะ "ไม่ทำอะไรเลย" ในช่วงหลังเลิกงานจนถึงเวลานอน นอกจาก "พักผ่อนอย่างไร้สาระ"

ผมไม่ได้บอกว่าการพักผ่อนไม่ดี แต่ถ้ามันมีมากจนเกินไป มันก็ไม่ใช่ประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคตเช่นกัน

แล้วแค่ไหนถึงเรียกว่า "พักผ่อนเยอะเกินไป" ล่ะ?

ไม่ยากครับ

ดูแค่เวลาที่เรา "ไม่ได้ทำงานประจำ" นั้น เราเอามาทำอะไรที่มันจะ "ต่อยอด" ให้ตัวเราเองในอนาคตได้มากแค่ไหน เราทำอะไรที่ทำให้เรา "มีเงินมากขึ้น" หรืออย่างน้อย "มีความสามารถมากขึ้น" ในอนาคตอันใกล้ได้บ้าง

อย่าหลอกตัวเอง ว่าการดูหนังจะทำให้เราได้รู้เรื่องหนังมากขึ้น หรือการชอปปิ้ง จะช่วยให้เราเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ดียิ่งกว่าเดิม ถ้าการทำทุกอย่างที่ว่าไปนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรืออนาคตที่ "ดีกว่าเดิม" อย่างจับต้องได้

นั่นก็แปลว่า คุณพักผ่อน "มากเกินไป" ครับ

5. อย่าให้ชีวิตมีแต่ "ทีทำงาน" กับ "ที่บ้าน"

คล้ายข้อที่แล้ว คือ หากเราทำงาน เหนื่อย กลับไปบ้าน ก็เหนื่อย หรือบางที กลับจากออฟฟิศเข้าบ้านมา ก็ยังปลดระวางความเครียดหรือความรู้สึกไม่ดีจากที่ทำงานได้ เช่นเดียวกัน ครอบครัวมีปัญหา ทะเลาะกับแฟนมา แล้วมาทำงาน ก็คงจะออกมาดีหรอกนะ

การที่ชีวิตมีแค่ "สองด้าน" มันจะคานน้ำหนักด้านอารมณ์กันเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครแยกแยะได้จริงๆร้อยเปอร์เซนต์หรอกว่า เรื่องงานส่วนเรื่องงาน เรื่องที่บ้านส่วนเรื่องที่บ้าน มันปนเปกันเสมอ แค่ใครแยกแยะได้มากกว่าน้อยกว่าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผมเลยมักจะแนะนำไปว่า จงหา "อย่างที่ 3" เข้ามาสร้างสมดุลให้มีมากขึ้น เช่น งานเสริม กิจกรรมยามว่างที่มีประโยชน์ อาจเป็นการออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือ หลักๆคือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มากกว่าทั้ง ที่ทำงาน และที่บ้าน (แน่นอนว่าใครที่เป็นคนโสดอยู่คนเดียว เรื่องนี้ก็อาจจะเบากว่าคนมีครอบครัวแล้ว)

6. เริ่มออมแต่วันนี้

ไม่มีข้ออ้างใดๆ การออมทั้งที่ยังมีเงินน้อย ไม่ใช่การออมเพื่อรวย แต่เป็นการสร้างนิสัย ให้เราสามารถฝึกตัวเองไม่ให้ใช้ "เงินทั้งหมด" ได้

เงินเดือนออก เก็บก่อนเลย 10% 15% 20% ว่าไป แล้วแต่ใครจะสะดวก (แต่ต่ำๆสุดควรจะอยู่ที่ 10% นะครับ)

เด็กๆชอบอ้างว่า ยังไม่ทันได้ใช้เงินเลย หนี้ก็มาแล้ว หรือหมดตั้งแต่วันแรกที่เงินเดือนออกแล้ว

เชื่อผมครับ "ลอง-ทำ-ดู-ก่อน" แยกเงินเก็บออกมาเลย วางไว้อีกที่ แล้วใช้เท่าที่มีจากปกติ อาจจะเหลือ 90% ก็ใช้ไป มันอยู่ได้ครับ จริงๆ เชื่อผม ไม่มีใครตายเพราะเงินลดลงไม่กี่สิบ % หรอก แต่จะตายเพราะหนี้ที่ไม่ควรเกิดตะหาก

และจากการเก็บได้เดือนละ 10% ก็เพิ่มไปเรื่อยๆ ทีละนิดๆ อาจจะเพิ่มเดือนละ 0.5-1% ก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ลองมองดูครับ ปลายทางของเรา เราจะเก็บเงินได้เก่งแค่ไหน ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอเค ถึงจุดนึงมันอาจจะฝืนต่อไม่ไหว แต่อย่างน้อยเราก็รู้แล้วครับ ว่า limit เราอยู่ที่ตรงไหน

และนั่น คือการเริ่มต้นของนิสัยคนรวยครับ

7. พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง คล้ายๆกับข้อก่อนหน้า อย่าหยุดคิด อย่าหยุดศึกษา อย่าหยุดทำให้ตัวเองดีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้เรายังไม่ใช่คนที่ "ประสบความสำเร็จ" แต่วันข้างหน้าเหล่านั้นอาจไม่มาถึงเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ "เริ่มต้น" ทำบางอย่างเสียแต่วันนี้

ว่าแต่ว่า "บางอย่าง" ทีว่าน่ะ

สำหรับคุณ มันคืออะไร?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น