วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

เหลืออีก 92 วันของการเป็นลูกจ้าง - สิ่งที่ผมอยากฝากน้องๆในที่ทำงาน

1. จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ

ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างก็เกิดขึ้นได้เสมอรอบตัวเรา และส่วนใหญ่ เราจะรับมือกับมันไม่ค่อยทันเสียด้วย เพราะฉะนั้น การ "เตรียมพร้อม" ในหลายๆด้าน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆกับการทำงานทุกวันให้ดีที่สุด

2. เมื่อเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ อะไรๆมักไม่ดีขึ้นกว่าเดิม

ร้อยละ 80-90 เมื่อมีการเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม โอกาสที่จะได้หัวหน้าที่ดีกว่าเก่านั้น ยากเหลือเกิน เคสเดียวที่ผมรู้สึกว่าจะได้หัวหน้าใหม่ที่ดีขึ้นก็คือ เมื่อหัวหน้าเก่ามันห่วยแตกเสียสิ้นดี และการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น นั่นแหละ จึงจะทำให้เราได้หัวหน้าใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ในกรณีอย่างเช่น หัวหน้าทำงานหมดวาระ ต้องไปประจำสาขาอื่น (เพราะทำงานดี) หรือมีการโยกย้ายแผนกกันของระดับบริหาร ตัวอย่างพวกนี้ มักได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ลูกน้องต้องเผชิญกับหัวหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่นัก

3. อย่าอยู่ใน Comfort Zone นานจนเกินไป

เมื่อเราทำงานได้ระดับหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เรายัง "อยู่ได้" นอกจาเรื่องหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของ "ความเคยชิน" ที่นับเวลาผ่านไปก็จะยิ่งทำให้หลายๆอย่าง "ฝังลึก" เข้าไปในโครโมโซม ทางความคิดและพฤติกรรมเรามากขึ้น

หัวหน้าบางคนไม่ได้สนใจข้อเสียของลูกน้องและไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมันเพราะยังทำงานได้ แต่ในระยะยาว นิสัยไม่ดียังไงซะ ก็จะกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้อย่างแน่นอน

4. อย่าทำแต่งาน

หลายๆคนพอได้เข้าทำงานที่มีความมั่นคง บริษัทดูจะไม่เจ๊งไปได้ง่ายๆ ก็ทำไปเรื่อยๆ สักแต่ว่าทำๆไป รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมา 3 ปี 5 ปี แล้ว ตัวเองยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหนเท่าไหร่ไกลเลย ขณะที่เพื่อนๆคนอื่นของเราต่างก็เริ่มมีความก้าวหน้าให้เห็นบ้างแล้ว แต่เรายังคงเหมือนเดิมตลอด

เป็นเพราะเราเริ่มมี "นิสัยพนักงานประจำ" ที่เกือบๆจะเหมือน "เช้าชามเย็นชาม" ยิ่งถ้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นด้วยแล้ว เขาไม่ได้สนใจว่าเราจะมีความสุขนอกที่ทำงานด้วยหรือเปล่า แค่เข้ามาที่บริษัท ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น และกลับบ้าน ที่เหลือ เรื่องของคุณ

นั่นคือประเด็นที่ทำให้เรามีข้ออ้างอย่างสม่ำเสมอที่จะ "ไม่ทำอะไรเลย" ในช่วงหลังเลิกงานจนถึงเวลานอน นอกจาก "พักผ่อนอย่างไร้สาระ"

ผมไม่ได้บอกว่าการพักผ่อนไม่ดี แต่ถ้ามันมีมากจนเกินไป มันก็ไม่ใช่ประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคตเช่นกัน

แล้วแค่ไหนถึงเรียกว่า "พักผ่อนเยอะเกินไป" ล่ะ?

ไม่ยากครับ

ดูแค่เวลาที่เรา "ไม่ได้ทำงานประจำ" นั้น เราเอามาทำอะไรที่มันจะ "ต่อยอด" ให้ตัวเราเองในอนาคตได้มากแค่ไหน เราทำอะไรที่ทำให้เรา "มีเงินมากขึ้น" หรืออย่างน้อย "มีความสามารถมากขึ้น" ในอนาคตอันใกล้ได้บ้าง

อย่าหลอกตัวเอง ว่าการดูหนังจะทำให้เราได้รู้เรื่องหนังมากขึ้น หรือการชอปปิ้ง จะช่วยให้เราเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ดียิ่งกว่าเดิม ถ้าการทำทุกอย่างที่ว่าไปนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรืออนาคตที่ "ดีกว่าเดิม" อย่างจับต้องได้

นั่นก็แปลว่า คุณพักผ่อน "มากเกินไป" ครับ

5. อย่าให้ชีวิตมีแต่ "ทีทำงาน" กับ "ที่บ้าน"

คล้ายข้อที่แล้ว คือ หากเราทำงาน เหนื่อย กลับไปบ้าน ก็เหนื่อย หรือบางที กลับจากออฟฟิศเข้าบ้านมา ก็ยังปลดระวางความเครียดหรือความรู้สึกไม่ดีจากที่ทำงานได้ เช่นเดียวกัน ครอบครัวมีปัญหา ทะเลาะกับแฟนมา แล้วมาทำงาน ก็คงจะออกมาดีหรอกนะ

การที่ชีวิตมีแค่ "สองด้าน" มันจะคานน้ำหนักด้านอารมณ์กันเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครแยกแยะได้จริงๆร้อยเปอร์เซนต์หรอกว่า เรื่องงานส่วนเรื่องงาน เรื่องที่บ้านส่วนเรื่องที่บ้าน มันปนเปกันเสมอ แค่ใครแยกแยะได้มากกว่าน้อยกว่าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผมเลยมักจะแนะนำไปว่า จงหา "อย่างที่ 3" เข้ามาสร้างสมดุลให้มีมากขึ้น เช่น งานเสริม กิจกรรมยามว่างที่มีประโยชน์ อาจเป็นการออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือ หลักๆคือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มากกว่าทั้ง ที่ทำงาน และที่บ้าน (แน่นอนว่าใครที่เป็นคนโสดอยู่คนเดียว เรื่องนี้ก็อาจจะเบากว่าคนมีครอบครัวแล้ว)

6. เริ่มออมแต่วันนี้

ไม่มีข้ออ้างใดๆ การออมทั้งที่ยังมีเงินน้อย ไม่ใช่การออมเพื่อรวย แต่เป็นการสร้างนิสัย ให้เราสามารถฝึกตัวเองไม่ให้ใช้ "เงินทั้งหมด" ได้

เงินเดือนออก เก็บก่อนเลย 10% 15% 20% ว่าไป แล้วแต่ใครจะสะดวก (แต่ต่ำๆสุดควรจะอยู่ที่ 10% นะครับ)

เด็กๆชอบอ้างว่า ยังไม่ทันได้ใช้เงินเลย หนี้ก็มาแล้ว หรือหมดตั้งแต่วันแรกที่เงินเดือนออกแล้ว

เชื่อผมครับ "ลอง-ทำ-ดู-ก่อน" แยกเงินเก็บออกมาเลย วางไว้อีกที่ แล้วใช้เท่าที่มีจากปกติ อาจจะเหลือ 90% ก็ใช้ไป มันอยู่ได้ครับ จริงๆ เชื่อผม ไม่มีใครตายเพราะเงินลดลงไม่กี่สิบ % หรอก แต่จะตายเพราะหนี้ที่ไม่ควรเกิดตะหาก

และจากการเก็บได้เดือนละ 10% ก็เพิ่มไปเรื่อยๆ ทีละนิดๆ อาจจะเพิ่มเดือนละ 0.5-1% ก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ลองมองดูครับ ปลายทางของเรา เราจะเก็บเงินได้เก่งแค่ไหน ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอเค ถึงจุดนึงมันอาจจะฝืนต่อไม่ไหว แต่อย่างน้อยเราก็รู้แล้วครับ ว่า limit เราอยู่ที่ตรงไหน

และนั่น คือการเริ่มต้นของนิสัยคนรวยครับ

7. พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง คล้ายๆกับข้อก่อนหน้า อย่าหยุดคิด อย่าหยุดศึกษา อย่าหยุดทำให้ตัวเองดีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้เรายังไม่ใช่คนที่ "ประสบความสำเร็จ" แต่วันข้างหน้าเหล่านั้นอาจไม่มาถึงเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ "เริ่มต้น" ทำบางอย่างเสียแต่วันนี้

ว่าแต่ว่า "บางอย่าง" ทีว่าน่ะ

สำหรับคุณ มันคืออะไร?

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่อยากบอกกับน้องๆนักศึกษา #2 - วินัย สำคัญกว่าสิ่งอื่นเสมอ

จริงๆไม่ได้บอกว่าอย่างอื่นไม่สำคัญ เพราะในการใช้ชีวิตและการประสบความสำเร็จ ความสามารถหลายๆอย่าง ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด แต่ทั้งนี้ เราต้องแยกมันให้ออก ระหว่างการ "ใช้ความสามารถ" กับการ "สร้างความสามารถ"

สมัยนี้ เด็กๆจบใหม่หลายๆคน มักจะตั้งคำถามและวางเป้าหมายว่า "ฉันจะต้องรวย ต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ หลังจากนี้อีกกี่ปี บลาๆๆ ฉันจะเป็นนายตัวเอง บลาๆๆ"

คือ มันไม่ผิดหรอกครับ ที่จะวางเป้าหมายและความฝันไว้อย่างนั้น เพื่อให้เราได้เห็นเส้นชัยในการใช้ชีวิต คนเรามันมีเวลาไม่มาก ถ้าไม่ใช้ให้คุ้ม ก็อาจจะเสียดายในวันหนึ่งของชีวิตได้

แต่เราต้องเข้าใจมันก่อนว่า ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย และมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบพลิกฝ่ามือชั่วข้ามคืน

สตีฟ จ็อบ ยังต้องใช้เวลามากมายกว่าจะสร้าง Mac เครื่องแรกออกมาได้
ไอน์สไตน์ ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขานั้นถูก
เอดิสัน ต้องล้มเหลวหลายร้อยครั้งว่าจะพบหนทางผลิตหลอดไฟ

แล้วเราเป็นใคร ถึงจะประสบความสำเร็จแบบนั้นในเวลาอันสั้นได้

บางคนนี่หนักเลยครับ อยากสำเร็จภายในปีเดียว จะมีเงินเป็นสิบๆล้าน

มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันต้องค่อยๆสร้าง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มันไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ

และความสามารถที่เรามีและนำมาใช้ได้นั้น บางที มันก็ต้องฝึกฝน เพิ่มพูน พัฒนา และแตกแขนงออกไปโดยมีข้อจำกัดด้านเวลามาคั่นกลางเสมอ

ต่อให้เราเป็นคนที่เก่งล้นฟ้า แต่เราจะประสบความสำเร็จไปไม่ได้เลยถ้าหากขาด "ความสม่ำเสมอ" ที่จะค่อยๆสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้ค่อยๆมีมากขึ้นๆ จนวันหนึ่ง มันกลายเป็นความสำเร็จที่คนอื่นมองมาที่เราและเรายอมรับกับตัวเองได้ว่า "เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว"

ดังนั้น หากเราไม่มี "วินัย" ที่จะทำมันอย่างต่อเนื่อง นับวัน นับเดือน นับปี ไปถึงหลายๆปี บางที มันอาจจะไม่สำเร็จ และกลายเป็น "ล้มเหลว" จนเราต้องเลือกที่จะ "ล้มเลิก"

แต่รู้มั้ยครับ หากเรา "ล้มเหลว" แต่ "ไม่ล้มเลิก" แล้วล่ะก็ วันหนึ่ง ความสำเร็จนั้นจะปรากฏตรงหน้าเราเอง ไม่ช้าก็เร็ว

เคยเห็นรูปภาพ ที่มีคนหลายคนขุดเพชรใต้ดินมั้ยครับ บางคนทิ้งจอบไปตั้งแต่ก้าวแรกๆ บางคนขุดไปจนเกือบจะถึงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ก็ดันล้มเลิก ส่วนบางคน กำลังเพิ่งจะเริ่มต้น ไม่ได้มองเห็นด้วยซ้ำว่าต้องไปอีกไกลแค่ไหน

จะน่าเศร้าแค่ไหนกันครับ หากเรานั้นเป็นคนที่อยูห่างจากเพชร (หรือความสำเร็จ) นั้นแค่ไม่กี่เซนติเมตร แต่เพราะระยะทางที่เราขุดมามันยาวนานเสียเหลือเกิน นานจนเราท้อใจที่ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางเลย และสุดท้าย กลับต้องทิ้งจอบแล้วเดินกลับทางเก่า

โอเคครับ ในภาพนี้มันบอกเราให้อย่ายอมแพ้

แต่ในชีวิตจริง ผมเชื่อว่า หากมีการขุดเพชรแบบนี้จริงๆ เพชรมันคงกระจายตัวอยู่ใกล้ๆ และหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเข้าไปใกล้มากขึ้น

เราน่าจะได้รับเพชรบางเม็ด ระหว่างทางที่ขุดเข้าไป และมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย และนั่น อาจจะมากพอให้เราขุดต่อไป เพราะเราเห็นแล้วว่า "เรามาถูกทาง"

เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ จริงๆ ก่อนจะถึงความสำเร็จ เราจะเห็นหรือได้รับ "รางวัลเล็กๆ" ก่อนเสมอ นั่นคือแรงส่งให้เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปลายทางได้

แต่กระนั้นก็ตาม หากเด็กจบใหม่วัยรุ่นสักคนจะเริ่มขุด ทั้งๆที่เห็นคนนับร้อยนับพันขุดกันไปแล้ว สำเร็จก็มี แต่ล้มเหลวนั้นเยอะกว่า ถามว่า เด็กเหล่านั้นจะเริ่มต้นจับจอบขุดดินเลยไหม

อันนี้ผมตอบยาก

แต่เท่าที่เห็น อะไรที่มัน "ทำตามๆกัน" หรือ "ใช้เวลานานเป็นปีๆ" เด็กส่วนใหญ่ (และผู้ใหญ่หลายๆคน) ก็เริ่มที่จะหาหนทางอื่นกันแล้ว ส่วนน้อย ที่เริ่มต้นและทำไปโดยไม่คิดว่าจะถอยกลับ

แต่กระนั้น หนทางอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ ธุรกิจอื่นๆ งานอื่นๆ ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ มันก็ต้องใช้ "ความมุมานะ" และ "พยายาม" อย่าง "ต่อเนื่อง"

ย้ำนะครับ ว่า "ต่อเนื่อง"

ไม่งั้น มันก็ไม่สำเร็จเช่นกัน

ทางอื่นอาจจะสั้นกว่า เพราะ "คนอื่นยังไม่ค่อยเห็น" หรือ "เราเก่งกว่าคนทั่วไป" มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราจะไปได้ถึงจุดหมายเร็วกว่าชาวบ้าน

แต่กระนั้น ยังไงซะ เราก็ต้อง "ทำ" อย่าง "ต่อเนื่อง" ไปเรื่อยๆจนจบ ไม่งั้น เพชร ก็จะไม่มีทางมาอยู่ในมือเราอยู่ดี

เพราะงั้น ผมถึงบอกว่า "วินัย" สำคัญกว่าอย่างอื่นมากๆไงครับ

ถ้าเราไม่เก่งเรื่องอะไร ก็ฝึกฝนมัน ทำมัน เรียนรู้มัน อย่าง "ต่อเนื่อง" แล้ววันนึง เราก็จะเก่งกว่าคนทั่วไป และเมื่อนั้น เราก็จะขุดดินได้ดีกว่าคนอืน เท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไรมาก

แต่จากตรงนี้ ถึงจุดสุดท้าย

"การเริ่มต้น" ก็เป็นสิ่งที่ยากพอๆกัน

เหมือน "จีบสาว" นั่นแหละครับ

ตอนเริ่มต้นน่ะ "ยากชิบเป๋ง"

แต่พอเริ่มไปแล้ว เราทุกคนต่างรู้ว่า หากมันเวิร์ค และความสัมพันธ์มันได้เริ่มต้น

"ความมีวินัย" ในการรักษาความรัก การดูแล เอาใจใส่ต่างหาก ที่จะทำให้ความรักนั้น "อยู่รอด"

หรือแม้แต่เรื่องเรียนก็ตาม
จะสอบให้ได้ มันเอาเวลา 20 ชม.ก่อนเข้าห้องสอบ มาอ่านหนังสือทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ มันไม่พอ มันคือการฝืนธรรมชาติ
หากจะสอบให้ได้ (และให้ได้ดี) เราต้องเข้าเรียน ทำการบ้าน ฝึกฝนทบทวน "อย่างสม่ำเสมอ" ผลสอบมันถึงจะออกมาดี

เห็นมั้ยครับ ไม่มีอะไรต่างกันเลย แทบจะในทุกๆเรื่อง

เพราะฉะนั้น ก่อนจะบอกตนเองว่า "เราเก่ง เรามีความสามารถ" อย่าลืมด้วยนะครับว่า

"ความมีวินัย" ของเรานั้น มีมากพอหรือเปล่า

เพราะชีวิตมันไม่ใช่การเล่นเกมหรือเดิมพันแบบครั้งเดียวจบ

แต่มันคือการสู้ แล้วล้ม แล้วสู้ แล้วล้ม แล้วสู้ต่อ

สู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งความสำเร็จนั้นมาถึง

และในเวลานั้น เราถึงจะได้รับสิ่งที่เราสมควรได้ ในท้ายที่สุดนั่นเอง

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่อนไหว หรือ อ่อนแอ

ช่วงเดือนหลังๆนี่ ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนสมัยประถม ซึ่งก็เป็นแค่กลุ่มในไลน์ที่มีกันประมาณ 100 คน

ในนั้นก็จะแตกเป็นห้องใหญ่ ห้องเล็ก อะไรอีกสารพัด

ผมเข้าไป ส่วนใหญ่ ก็อ่านผ่านๆ ไม่ได้สนใจจะดูหรือร่วมสนทนาอะไรนัก

เพราะว่าผมเองไม่ได้สนิทกับพวกเขาเท่าไหร่ ห่างหายกันไปจากตอนประถมก็ร่วม 20 ปี และหลังจากนั้นก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย การเงียบและอ่านอย่างเดียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น

แต่หลังจากมีการแบ่งกลุ่มย่อยกลุ่มเล็ก แล้วแตกออกมาเป็นกลุ่ม "ชลบุรี-ระยอง" ก็เหลือสมาชิกแค่ไม่กี่คน ซึ่งก็สามารถนัดมากินข้าวกันได้ไม่ยากนัก

พอได้มาเจอกัน นั่งคุยกัน มันก็ประหลาดๆดี เหมือนคนไม่ได้เจอกันนาน แต่มันมีความเป็นเพื่อนฝังอยู่ เลยไม่ต้องรู้สึกว่าต้องเกรงใจหรือประหม่าอะไรเท่าไหร่นัก ก็คุยกันเล่นกันได้ตามปกติ

มีเพื่อนคนนึงชื่อ ต. เป็นคนที่ดูท่าทางจะกวนๆหน่อย เสียงเข้มๆ และดูเหมือนจะมีความเป็นตัวเองสูง เพื่อนอีกคนชื่อ อ. เป็นคนตลกๆ เล่นมุขตลอดเวลา แต่ไม่หยาบคาย ดูเข้ากับคนได้ทุกคน

หลังจากนัดกินข้าวผ่านไป ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเขินน้อยลงจนสามารถพูดหรือแลกเปลี่ยนอะไรในห้องนี้ได้บ้างแทนที่จะเงียบอย่างเดียว

ล่าสุด อ.ได้เปิดประเด็นถามเพื่อนในกลุ่มว่า จะทำยังไงเกี่ยวกับน้องที่ทำงานที่ Performance งานมันไม่ได้เรื่อง แถมทัศนคติก็ห่วยดี

ผมเลยแนะนำให้คุยกับน้องเขาไปตรงๆ ว่าทำงานมา 4-5 ปีแล้วเนี่ย เข้าใจเรื่อง Mindset ขององค์กร หรือ Roadmap ระยะยาวบ้างหรือเปล่า

ซึ่งถ้าคุยแล้ว เขาไม่เข้าใจ หลายครั้งหลายรอบก็ยังมองอะไรผิดๆอยู่ ก็บอกเขาให้ไปหางานใหม่หรือโอกาสในชีวิตใหม่ๆเพื่อตัวเองดีกว่า ไม่ใช่มาเผาเวลาทิ้งไปวันๆกับงานหรือองค์กรที่มันไม่ใช่ตัวเองแบบนี้

จริงๆผมไม่ได้พูดไปแค่นั้นหรอกนะ แต่เยอะเลยทีเดียวล่ะ อย่างเช่นที่ว่า ทำไมต้องเอาเด็กแบบนั้นออกไป เพราะว่า ธรรมชาติของคนเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีขึ้นหรอก มันมีแต่แย่ลง ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ คนอื่นๆจะแย่ตาม เพราะเห็นว่า ทีไอ้หมอนั่นยังทำได้เลย แถมยังได้ผลดีกับตัวเองอีกตะหาก แถมบริษัทก็ไม่ทำอะไรด้วย หรือ อย่าปล่อยให้ปลาให้บ่อตัวเองเน่า เพราะมันจะเน่าต่อๆกันไป จนสุดท้าย เราเองที่จะต้องได้ผลงานจากฝีมือของลูกน้อง ก็จะพาลฉิบหายไปด้วย

และ บลาๆๆ อีกมากมาย

ปรากฏว่า เพื่อน ต. ที่อ่อนไหวผิดกับสีหน้าท่าทางที่ดูห้าวเกินตัว ก็ออกจากกลุ่มนี้ไป และไปกดออกจากกลุ่มอื่นๆอีกหลายกลุ่มแบบรัวๆ

ไอ้ผมก็แบบว่า "เฮ้ย นี่มึงเอาจริงดิ" คือตอนนั้นคิดประมาณว่างงมาก ที่ไอ้การที่เราเม้นต์ความเห็นส่วนตัวแบบชัดๆลงไป จะทำให้เพื่อนคนนึงหวั่นไหวและมีสภาพร่องแร่งจนน่าเป็นห่วง ได้ข่าวมาว่าหมอนั่นมีปัญหาเรื่องงาน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ ยิ่งพวกเราตอนนี้ก็อายุประมาณ 30 กว่าๆกันแล้ว มันพ้นวัยจะมาง้องแง้งเรื่องงานประจำแล้วป่าววะครับ

ถ้าไม่ชอบ ก็ออกไปหางานใหม่ที่ชอบสิ

ถ้าอยากทำอะไรแล้วเขาไม่รับ ก็ไปฝึกฝีมือจนเก่งและเขาอยากรับก่อน ค่อยมาเวิ่นเว้อโวยวาย

จริงๆมันก็มีอีกหลายคนที่บ่นเรื่องงานประจำนะ
แต่ส่วนตัวผมเอง ผมว่าผมหลุดพ้นจากตรงนั้นมาแล้วอ่ะ

ไม่ได้ว่าชอบหรือรักงานประจำอะไรมากมายนะครับ แต่ตอนนี้ผมเหมือนรอเวลาออกเสียมากกว่า (ถ้าใครตามอ่านเรื่องนับถอยหลังก็คงพอจะรู้อ่ะนะ)

จริงๆอยากบอกเพื่อนทุกคนว่า "ถ้ามึงไม่ชอบอะไรที่อยู่ในชีวิตตัวเองตอนนี้ ก็เปลี่ยนมันซะ ถ้ามันไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที ก็ค่อยๆเปลี่ยนซะ อาจจะช้า อาจจะนาน แต่ถ้าไม่เริ่มในวันนี้ วันข้างหน้ามันก็ไม่มาถึงหรอก"

แต่ก็ดันลืมคิดไปอีกว่า อาจจะมีเพื่อนบางคนที่มันอ่อนแอ เพราะอ่อนไหวอยู่ด้วย ไอ้เราก็เป็นพวกแจกยาขมเสียด้วยสิ 5555 ไอ้เรื่องจะไปง้อใครที่เราไม่ได้ผิดเนี่ย ไม่ไหวๆ ทำไม่ได้จริงๆ ไม่รู้จะเริ่มยังไง

เอาเป็นว่า สำหรับใครที่หนักใจกับงานประจำ หรือเจ็บปวดกับการค้นหาตัวเอง หรือพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่ๆควรอยู่ และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นก็เรียกร้องหาวันหยุดหรือเวลาที่จะได้ไปตามนัดกับเพื่อน

ผมว่า พวกคุณกำลังมา "ผิดทาง" นะครับ

การที่ไม่มีอย่างอื่นให้โฟกัสเลย นอกจาก "ความทุกข์" ชีวิตคุณจะไม่มีความสุขหรอก

แต่ถ้าคุณหาสิ่งที่คุณอยากทำ และ คุ้มที่จะทำ เจอ

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีครับ
ทำซะ
ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกวัน อีกเดือน อีกปี
และก็มานั่งเสียใจกับตัวเองว่า ปีนึงที่ผ่านมา ทำไมไม่มีอะไรในชีวิตกูที่มันดีขึ้นเลยวะ

คำตอบสั้นๆ

คุณไม่ลงมือเปลี่ยนมันเองนี่(หว่า)ครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ....

ตะกี้เพิ่งเข้ามาทำงาน

นั่งคิดวันเวลาที่เหลือสำหรับเป็นพนักงานที่นี่แล้ว เหลือ 116 วัน

ถ้าไม่นับเสาร์อาทิตย์ เหลือ 79 วัน

ถ้าตัดเอาวันลาพักร้อนที่จะสมทบตอนปลายปีให้หมด จะเหลือประมาณ 66 วัน

66 วัน

เป็น 66 วันที่ยาวนานชิบหาย

เหมือนติดคุกอะไรยังไงยังงั้นเลย

ให้ตายเหอะ

น่าเบื่อมากๆ

หัวหน้าใหม่กูนี่ แม่มมม เกินจะบรรยาย

ถ้ากวนตีนกว่านี้อีกหน่อยเดียวนี่ กูชิงลาออกไม่เอาโบนัสไปแล้ว ให้ตายเหอะ

เป็นมนุษย์ที่ตงฉินซะจนน่ารำคาญ
เออ... ถ้าให้พูดกันจริงๆ แม่งก็คงดีกว่า กังฉินอ่ะนะ
แต่มันไม่ไหวว่ะ ยิ่งเคยทำงานกะคุเมะมาก่อน มาเจออีนี่นี่แบบว่า โอยยยย... อยากกุมขมับวันละ 4 เวลา

ทำไมนะ เมื่อเช้าถึงตื่นแล้วไม่ลุก มันเป็นเพราะอะไร ทั้งๆที่เราก็ตื่นได้แท้ๆ นอนก็นอนไม่ดึก อะไรวะ
วินัยเราหายไปไหนหมดแล้ว ทำไมไม่มีความรับผิดชอบห่าอะไรเลยวะกู น่ารำคาญตัวเองชิบหาย
หรือเพราะเรามันหลุดจาก Mind Set พนักงานทำงานประจำไปแล้ว

ยิ่งเมื่อวานไปดู "ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ" มาด้วย

ยิ่งเกิดอาการแบบว่า เอ่อ... จะจริงจังกะการทำงานไปไหน

คือ มันไม่ใช่ความสนุกหรือความชอบของเราอีกแล้วอ่ะ แล้วจะทนทำไปทำไมวะ อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ

ยิ่งพระเอกในเรื่อง มันเป็นคนที่เหมือนเราในสมัยก่อน และเป็นคนที่ตรงข้ามกับเราสุดๆแบบสมัยนี้
มันเลยเข้าใจทั้ง 2 แง่มุมอ่ะนะ

ว่าไอ้การ "ทำงานจนตัวตาย" น่ะ มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเรา "หลง" ไปเชื่อจริงๆว่า ร่างกายเราจะเหมือนกับตอนสมัยเด็กๆ

ที่จะทำอะไร หนักแค่ไหน ก็ยังอยู่ได้ ยังไหวๆ ซึ่งจริงๆแล้ว แม่งไม่ใช่ไง

คนเรา พออายุมากขึ้น อะไรๆที่เคยทำๆไว้ตอนสมัยก่อน แม่งก็มาปรากฏออกหมดนั่นแหละ

เหมือนแต่ก่อน แดกเหล้าจัด แดกจนร้านปิด ถึงเช้า วนมาจนเย็นอีกรอบได้ ไม่นอนกันติดๆหลายวัน ยิ่งตอนสอบนี่ไม่ต้องพูด ชอบคิดไปว่า อ่านหนังสือโต้รุ่งแล้วจะดี ให้ตายสิ อยากกลับไปเรียนใหม่ชิบหาย ชีวิตจะได้บาลานซ์กว่านี้หน่อย แดกเหล้าเยอะไปแม่งก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นจริงๆ

พอมาตอนอายุได้เกือบๆ 30 คือ แดกเหล้าไม่ไหวแล้วไง กินถึงตีหนึ่งนี่ ไม่ต้องตื่นเลย 6-7 โมง ไม่มีทางไหว ร่างกายแม่งยอมแพ้สัดๆอ่ะ ต่อให้มึงฝืนสังขารตื่นมา ก็ไม่รอดหรอก ปวดหัว ตัวเหลืองตัวเขียวทั้งวันอ่ะ ต้องหาทางหลบนอนให้ได้ ไม่งั้นจบ

พอมาเจอ "ไอ้จูน" ที่แม่ง ตอนเรียนไม่เคยกินเหล้าเลย ก็เลยได้รู้อย่างชัดๆเลยว่า "ความสด" แม่งเป็นยังไง

ตามมากินตอน 3 ทุ่ม แดกเหล้าเพียงไป 6 ฝาติด นั่งกินยังร้านปิด ไปกินต่อที่ห้อง กินถึงตี 4 ตี 5 นอนชม.เดียว ไอ้ห่าจูนลุกไปทำงานได้เฉย

พวกกูนอนตายถึงบ่าย 2 แถมตื่นมายังสภาพอุบาทว์สุดๆอีก
ดีนะ ตอนนั้นไม่มีแฟน ไม่งั้นชีวิตไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก คงไปไหนตามนั่นก็เพื่อนไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอกนะ

ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแฟน ชีก็สามารถบอกได้อีกว่า "เป็นห่วง" ทีเดียวจบ จะให้ไปแดกเหล้าแล้วค้างกะเพื่อนนี่ หมดสิทธิ์ ยิ่งกูเป็นพ่อบ้านใจกล้าชิบหายอีก ไอ้เรื่องจะหนีเมียเที่ยวนี่ไม่มีล่ะครับผม ยอมคือยอม โดนทะเลาะแล้วเขาผิด ดีกว่าทะเลาะกันเพราะเราชั่ว มากมายนัก

เฮ้อ.... อยากถอนหายใจเป็นภาษาลาตินชิบหาย ทำไมชีวิตช่วงนี้มันอับเฉาอะไรขนาดนี้วะ
ให้ทำอะไรก็ไม่อยากทำเลยสักอย่าง
แค่จะหิ้วสังขารตัวเองมาทำงานนี่ก็เรื่องใหญ่งานช้างไปซะแล้ว
บทพอจะลา กูแม่ง ทำสันดานเสียตลอด

เค้าว่า "คนจริง" จะกล้าปฏิเสธและเผชิญหน้า กูคงไม่จริงเท่าไหร่ล่ะมั้งนะ ขี้ปอดเหลือเกิน

ส่วนเรื่องหนัง....

เอาง่ายๆ ใครหวังว่าจะได้ดูอะไรอย่าง "พี่มากฯ" "แอมฟาย" "ATM" "เพื่อนสนิท" "กวนมึนโฮ"
ขอแนะนำว่า

ไม่ต้องไปดูหรอกครับ

หนังแม่ง Real สัสๆ

หนังไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่
มันแค่ "จริง" ในรายละเอียด
ก็เท่านั้น
ไม่มีเว่อร์ ไม่มีอะไรแฟนตาซี นอกจากเรื่องหมอสวย
นั่นแหละ แฟนตาซีและอัศจรรย์สุดแล้วในเรื่องหนัง

ถ้าจะไปดูกับแฟน "อย่า" ครับ ไปหาเรื่องอื่นดูเหอะ Inside Out ก็ได้ น่าดูกว่านะผมว่า

ส่วนถ้าจะดูคนเดียว
ช่วงนี้ มี Hitman กับ MI5 (ถ้ายังไม่ออก) ไม่ก็ Pixel อันนี้พอดูได้ครับ

ที่เหลือ ก็แล้วแต่วิจารณญาณกันนะจ๊ะ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

อีก 120 วันของการเป็นลูกจ้าง

ไปๆมาๆ ผ่านไปจนเหลือแค่ 120 วันแล้ว นี่ยังไม่นับว่าผมจะลางานช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือน ธค.อีกนะเนี่ย

อะไรๆหลายๆอย่างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จหรือคืบหน้าไปเท่าไหร่เลย

ทั้งเรื่อง Stock Vector ที่ก็ยังไม่ได้เริ่มเท่าไหร่
ทั้งเรื่อง Affiliate ClickBank ที่ตอนนี้ก็พับโปรเจคเงียบยาวไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เริ่มอีกมั้ย
หรือแม้กระทั่งการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักอัน เพื่อช่วยโปรโมตร้านค้าออนไลน์ของเราเอง
นี่ยังไม่รวมเรื่องการเตรียมสร้างเพจและเว็บไซต์สำหรับครีม Avial แบรนด์ใหม่ของตัวเองกับแฟนอีก

การทำงานประจำไปด้วย เลิกงานกลับมาทำงานส่วนตัวไปด้วยนี่มันยากจริงๆ

ไม่ได้ยากที่งานเยอะนะ แต่ยากที่ พอเรากลับมาถึงบ้าน เราก็อยากพักอ่ะ นั่งหน้าคอมแล้วก็อยากดูนั่นดูนี่เต็มไปหมด ไอ้นั่นก็อยากรู้ ไอ้นี่ก็อยากอ่าน ไปๆมาๆ ผ่านไปหนึ่งวัน ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่เลย

ความเปลี่ยนแปลงในบริษัท ก็เห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่ก็เพิ่งมีคำสั่งว่า หัวหน้าเก่า ที่เป็น GM Production ก็กำลังจะกลับสิ้นเดือนนี้

หัวหน้าคนนี้เป็นคนที่ทำให้เราอยากลาออกจริงๆจังๆครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน

เนื่องด้วยเพราะรู้สึกว่า การทำงาน แนวคิด หลักการบริหาร เราเดินมาถึงจุด "สวนทาง" กันแล้ว

วิธีในการควบคุมจัดการของผม ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของหัวหน้าคนนี้ได้
และการทำตามคำสั่งแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมเองไม่คิดว่ามันจะแก้ปัญหาอะไรได้

ประกอบกับการอิ่มตัวในหน้าที่การงานและวิถีชีวิตหลายๆอย่าง
และแฟนก็เห็นด้วยที่ผมนั้นดูเหนื่อยหน่ายและเครียดเหลือเกิน

เราจึงตกลงกันว่า จะให้ผมลาออกมาก่อน แล้วค่อยหางานทำ

ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่า แฟนผมเขามีภาระอะไรหลายๆอย่างอยู่ด้วยเหมือนกัน
เพิ่งมารู้ทีหลัง ว่าเธอมีภาระทางครอบครัวมากมายเหลือเกิน ที่ไม่ได้บอกผม

แต่หลังจากผมแจ้งลาออก ทางผู้บริหารญี่ปุ่น ก็ได้คุยกันและสั่งย้ายผมมายังแผนก IE ที่ผมอยู่ตอนนี้

ตอนนั้นผมกะว่า จะอยู่ต่อถึงแค่สิ้นปี แล้วก็จะลาออก เพราะไม่ได้อยากทำต่อแล้ว ใจมันหมดแล้ว

แต่พออยู่ๆไป ไปๆมาๆ ผมกลับอยู่ต่อมาจนถึงเกือบ 3 ปีได้

เพราะหัวหน้าใหม่ของผมนั้นเรียกว่า "ถูกโฉลก" กับผมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่วุ่นวาย ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น

มองในแง่ดี มันก็คือสบายตัวสบายใจ
มองในแง่ร้าย ก็คือ มันสร้างให้เราอยู่ใน Comfort Zone แบบถอนตัวได้ยากเหลือเกิน

และหลังจากที่หัวหน้า IE ผมกลับญี่ปุ่นไป
หัวหน้าคนใหม่เข้ามา
เราก็ได้รู้ว่า Comfort Zone นั้น สูญหายไปแล้ว

หัวหน้าใหม่มา บ้าพลัง และลุยสร้างผลงานน่าดู
แต่เพราะเขายังไม่เคยบริหารแผนกนี้แม้แต่น้อย (สายงานเก่าเขาคือสายงานคนละด้านกับ IE เลย)
ก็เลยทำให้เราค่อนข้างทำงานลำบาก

และเขาก็แตกต่างกับหัวหน้าคนก่อนพอควร
ความช่วยเหลือที่มีให้เรานั้นน้อยลง และไม่สามารถ Support อะไรเราได้เท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับหัวหน้าคนก่อนหน้านี้

แต่ก็เอาเหอะ
ผมตัดสินใจแล้วว่า จะอยู่ถึงแค่สิ้นปี
ร้านผ้าม่านที่ทำกับแฟน ก็เดินทางมาได้จนเรียกว่า "อยู่ตัว" ระดับหนึ่ง

เราเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ใน 20% ที่สามารถพาธุรกิจตัวเราเองผ่านปีแรกมาได้

และถ้าเราสามารถพามันผ่าน 3 ปีไปได้ เราก็จะกลายเป็น 5% ส่วนน้อย ที่สามารถอยู่ในวงจรธุรกิจได้
ซึ่งนั่นก็คือ เราจะกลายเป็นธุรกิจที่มีความสามารถมากกว่าธุรกิจทั่วไปนั่นเอง

หลังจากนี้ ผมคงต้องขยันมากขึ้น
ต้องอดทนมากขึ้น
เพราะถ้าออกมาจากงานประจำแล้ว
จะทำตัวเหลวแหลก ไร้สาระไปเรื่อยๆไม่ได้
นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการเกาะเมียกิน
ผมต้องสร้างพอร์ต Stock Vector
และเพิ่มจำนวน Sticker ในไลน์ให้ได้

นั่นคืองานของผม
คือพันธกิจของผม
คือ Passion ของผม

ผมว่า ผมเลือกไม่ผิดอีกแล้วล่ะ

Facebook.com/pages/ระบายศรี