วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

3 วันสุดท้ายของการเป็นลูกจ้าง

นี่คงเป็นบทความสุดท้ายที่ผมจะพิมพ์บนโต๊ะทำงานของผมที่บริษัทเกี่ยวกับเรื่องของการเป็นลูกจ้างของผมเองล่ะครับ

นั่งเลื่อนย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ 190 วัน ที่นับถอยหลังตั้งแต่กลางๆปีแล้วก็นะ เวลามันช่างผ่านไปไวเสียนี่กระไร เผลอแป๊บเดียว มาถึงสัปดาห์สุดท้ายกันแล้ว

สำหรับผม มันไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นกับตัวเองเท่าไหร่เลยครับ ยังงงอยู่ว่า ทำไมเราไม่ตื่นเต้นอะไรกันมั่ง แฟนผมกับลูกน้องของผมซะอีกที่ดูจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากกว่าผมอยู่หลายเท่าทีเดียว

อาจเป็นเพราะว่า สำหรับผมแล้ว การหยุดวันเสาร์อาทิตย์ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้หยุดพักผ่อนสักเท่าไหร่อยู่แล้วครับ แต่ก่อนนี้ เสาร์อาทิตย์ คือวันพักผ่อน ต้องมีไปเที่ยว ไปดูหนัง กินข้าวนอกบ้าน ฯลฯ

แต่หลังจากเปิดร้านผ้าม่านกับแฟนแล้ว วันหยุดผมก็เหมือนจะหายไปเลยทันที มันเลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากว่า ออกไปแล้ว ชีวิตจะเปลี่ยนอะไรมากมายเท่าไหร่

หลังจากออกไปแล้ว 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ ผมคงพักผ่อน ทำงานที่ร้านผ้าม่าน และทำการตลาดออนไลน์เป็นหลักครับ

รอสัปดาห์หน้า ผมก็ต้องไปเรียนคอร์ส การใช้ Photoshop สำหรับออกแบบและแต่งรูปภาพ เพื่อจะมาทำการตลาดครีมที่ผมกับแฟนร่วมกันทำอย่างจริงๆจังๆเสียที

จริงๆผมเองก็ติดเล่นอยู่มาก นั่งหน้าคอม ยังไงก็ต้องมีอ่านการ์ตูน ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆนั่นแหละครับ แต่เอาน่ะ ยังไงก็คงจะได้งานกันบ้างล่ะ ไม่มากก็น้อย

สติ๊กเกอร์ไลน์ผมก็ยังวาดอยู่ ยังมีอีกหลายไอเดียเลยทีเดียวที่ต้องวาดต่อให้จบ

...

เมื่อวานนี้ มีงานปาร์ตี้แผนก ก็เลี้ยงกันเนื่องในโอกาสวาระปีใหม่ และเลี้ยงส่งผม กับน้องอีกคนที่จะลาออกตอนสิ้นปีนี้ ซึ่งของผมเองใช้วันลาพักร้อน ก็เลยลาได้ยาวตั้งแต่สิ้นปีขึ้นมาอีก 2 อาทิตย์ จนสุดท้ายคือเหลือทำงานแค่วันศุกร์ที่ 11 นี้ก็จบแล้วครับ ชีวิตพนักงานกินเงินเดือนของผม

แต่เดี๋ยวกะว่า วันศุกร์นี้ จะเลี้ยงอีกทีนึง สำหรับเพื่อนที่ทำงานผมหลายๆคนที่เคยร่วมงานกันมา ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน และรุ่นน้องที่ผมสนิทสนมด้วยตลอด 10 ปี (บางคนอาจจะมีแค่ช่วงหลังๆ) คงจะได้จัดเมากันเต็มเหนี่ยวเป็นการสั่งลาเป็นแน่ หึๆๆ

...

หลังจากว่างๆและมีเวลานั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมก็มาลองวางแผนดูว่า หลังจากออกไปแล้ว ผมจะทำอะไรต่อไปยังไงดีได้บ้าง

1) คงต้องช่วยงานที่ร้านผ้าม่าน ฝึกตัวเองให้พอจะทำงานติดตั้งเองได้ รวมไปถึงคิดราคาผ้าม่านเองได้บ้าง จะได้ช่วยลดภาระของแฟนบ้าง

2) ฝึกสกิลด้านแต่งรูป photoshop , illustrator เพื่อจะได้เอามาแต่งเว็ปทำรูปสินค้าเพื่อโปรโมทครีมของตัวเองที่ทำกับแฟน

3) ใช้ความสามารถด้านการวาดรูป+Illustrator ที่กำลังจะได้เรียนมา เอามาวาดรูปทำพวก Stock Vector เพื่อเพิ่ม port สร้าง passive income อีกอย่างหนึ่ง

4) ใช้เวลาว่างวาด Sticker line อย่างน้อย ก็ต้องให้ได้ครบตามที่วางแผนเอาไว้นั่นแหละ (10 แบบได้)

5) ทำครีมดูสักปี ถ้ามันไม่ work ก็ต้องทำให้ work ก่อนจะคิดอ่านไปทำอย่างอื่นได้บ้าง

6) ถ้ามีตังค์เก็บมากพอ ก็อาจคิดเรื่องเรียนโท สนใจด้าน marketing , จิตวิทยา , Product Design , การเงิน และกฏหมาย ถ้ามีโอกาส ก็อยากเรียนแม่งทุกอย่างเลย

7) ถ้าได้เรียนถึง ป.เอก ก็อาจผันตัวไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย (อย่างน้อยก็ได้มองนักศึกษาบ้างล่ะนะ 555)

8) ถ้าเบื่อ ก็อาจกลับไปทำงานโรงงาน แต่คงเลือกที่ใกล้บ้านเป็นหลัก ทำได้ดีก็โอเค เบื่อก็ออก อะไรประมาณนั้น

9) ถ้ามี skill ด้าน illust มากพอ ก็อาจจะไปรับทำพวก ออกแบบสติ๊กเกอร์หรือโลโก้ หรือแม้แต่ออกแบบลายเสื้อยืดเอง อะไรก็ว่าไป

10) ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะกลับไปเรียนเขียนแบบ แล้วอาจจะรับจ้างเขียนแบบเครื่องกล พวก Drawing , Solid Edge , Autocad อะไรพวกนี้ คิดถึงเหมือนกัน

ดูสิ เขียนเล่นๆ นึกได้ตั้งหลายอย่าง เป็นสิบแน่ะ

ยังไม่รู้ว่าจะทำได้กี่ข้อหรือไปได้ไกลแค่ไหน แต่ก็นะ วางไว้ก่อนก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ เป็นแผนระยะยาวกันไป 5 ปี 10 ปี ไม่สาย ขอลองเดินทางในชีวิตนี้ให้สุดเรื่อยๆละกันนะ

Review : One Punch Man โล้นซ่า หมัดเดียวจอด (Spoil พอสมควร)

ช่วงนี้เห็นหนึ่งในการ์ตูนที่ผมชอบเรื่องหนึ่ง กำลังเป็นกระแส Viral อยู่พอสมควรในช่วงนี้ อาจเนื่องด้วยเพราะเพิ่งมี Anime ลงจอไปไม่นาน เลยทำให้เกิดกระแสตอบรับในทางบวกค่อนข้างมาก

ซึ่งผมเองก็เพิ่งได้ไปดูเรื่องนี้ในรูปแบบ Anime มาสดๆร้อนๆ

ต้องบอกเลยว่า เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมยกให้เป็นเรื่องที่น่าติดตาม (สำหรับผม) มากที่สุดในช่วงปีนี้เลยทีเดียวครับ

เนื่องจาก plot เรื่องหลักที่ดูไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และตัวละครที่มีสเน่ห์ กับมุขกวนประสาทแบบกำลังดี

แรกเริ่มเดิมที เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้แต่งในนามแฝงว่า ONE ซึ่งวาดคร่าวๆไว้ด้วยลายเส้นที่ออกจะไก่เขี่ยนิดๆ (จริงๆก็ไม่นิดเท่าไหร่หรอก) แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าติดตามโคตรๆ จึงไปถูกใจนักวาดการ์ตูนท่านหนึ่งคือ Yusuke Murata หรือก็คือผู้วาดการ์ตูนในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งของผมคือ Eyeshied 21 นั่นเองครับ

จุดเด่นของภาพอยู่ที่ลายเส้น องค์ประกอบด้านสรีระวิทยา และ Action ที่สวยงามสุดยอดครับ อ.แกบอกว่าได้แรงบันดาลใจในลายเส้นจากการ์ตูนฮีโร่ของฝรั่ง เลยทำให้เขาได้พัฒนาสกิลการวาดให้ตัวละครออกมามีมิติ สมจริง และสวยงามแบบนี้ครับ

ซึ่งอ่านมังงะก็ว่ามันส์แล้ว พอมาเป็นอนิเมะ ยิ่งมันส์เข้าไปใหญ่ครับ เนื่องด้วยลายเส้นและ Active Motion ที่สะใจและอลังการ์ในสเกลความเทพและพลังสุดโหดของตัวละครมากๆ

บวกกับมุขตลกที่ขำกระจายสไตล์แบบที่ อ.ถนัดครับ เพียงแต่จะแตกต่างกับ Eyeshield 21 อยู่พอสมควร โดยเรื่องนี้นั้นจะเน้นไปที่ความ "เกรียน" เป็นหลักครับ มุขตลกหน้าตาย ตลกผิดจังหวะ ไร้ซึ่งกาลเทศะจะมีมาให้เห็นกันตรึม (อย่างตอนที่แกเผลอเข้าไปอยู่ที่หลุมหลบภัยแล้วพบว่ามันไม่มีห้องน้ำนั่นก็...) กลับกับ Eyeshield ที่จะเน้นไปทาง ตลกหลุดโลก ตลกเล่นคำ ซึ่งเป็นสไตล์ของตระกูล Shonen ที่เน้นให้เข้าใจมุขกันง่ายๆครับ

แต่เรื่อง One Punch Man นั้นจะเหนือขึ้นไปอีกขั้นครับ คือจะมีการสอดแทรกมุขแบบ "ไม่ตั้งใจให้ฮา" เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นอีกจุดเด่นนึงของเรื่องนี้เลยทีเดียวครับ

กลับมาที่เนื้อเรื่องกันบ้าง

สำหรับ One Punch Man นั้น ตอนแรก เนื้อเรื่องเริ่มต้นขึ้นที่การปรากฏตัวของปิศาจตัวหนึ่ง (ซึ่งหน้าตาเหมือนพิโกโร่ใน DBZ มากๆ) ซึ่งพี่แกโผล่มาแกก็กวาดเมืองถล่มไปซะครึ่งค่อนเมืองทีเดียว

และขณะที่กำลังจะถล่มเมืองต่อ ก็ปราดสายตาไปเห็นเด็กน้อยยืนร้องไห้ตัวสั่นอยู่คนเดียว ตามสไตล์ของผู้ร้ายสายโหด ก็ต้องขย้ำเหยื่อน้อยๆเป็นธรรมดา

นั่นคือตอนเปิดตัวไซตามะครับ

หนุ่มหน้าตาธรรมดาแต่หัวโล้นเลี่ยน(?) โฉบเข้ามาช่วยเด็กน้อยไปได้ทันหวุดหวิด ก่อนจะหันมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

และขณะที่เจ้าปิศาจ (ที่ในเรื่องให้ชื่อว่า วัคซีนแมน) นั้นอธิบายที่มาที่ไปของตนเองว่าเป็นตัวอะไรและมาทำลายโลกนี้เพื่ออะไร ขณะที่กำลังจะอัดพระเอกให้ตายคามือ

พี่โล้นแกก็ตวัดหมัดเข้าไปเปรี้ยงเดียวจนปิศาจผู้น่าสงสารร่างสลายกระจายกลายเป็นเศษขี้ผึ้งเปื้อนฝุ่นไปอย่างง่ายดาย

พลางทิ้งท้ายไว้ด้วย Capture สั้นๆอย่างชีช้ำระกำจิตว่า

"หมัดเดียวอีกแล้วหรือนี่??"

ปัญหาของพระเอกของเราเรื่องนี้มีอยู่ข้อเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบครับ

คือการ "ต่อยหมัดเดียวตาย"

ไม่ว่าศัตรูจะร้ายกาจมาจากไหน จะโหดเถื่อนเพื่อพญายมอมชาวไซย่ามาจากจักรวาลไหนก็ตาม พี่โล้นไซตามะของเราถ้าเผลอ เป็นได้ต่อยแล้ว หมัดเดียวตายเรียบทุกครั้งไป

นั่นทำให้พี่ไซฯของเรานั้น ต่างฝันใฝ่เฝ้ารอให้มีศัตรูสักคนโผล่มาให้แกได้รู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานไปกับการต่อสู้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

แต่ในความเป็นจริง มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยแม้สักนิดครับ เพราะศัตรูทุกผู้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาเฉียดรั้วบ้านพี่แก เป็นเจอแกต้องตายเรียบโดยที่แกแทบไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ

เนื้อเรื่องวนอยู่ประมาณแนวๆนี้ไปเรื่อยๆครับ สลับกับการปรากฏตัวของตัวละครใหม่ๆที่ค่อยๆเพิ่มเข้ามาให้วนเวียนอยู่ในชีวิตของพี่โล้นของเราอย่างต่อเนื่อง

เริ่มต้นด้วยจีนอส หนุ่มไซบอร์กสุดเท่ห์ที่ต้องการจะปราบคนพาล อภิบาลคนดี พร้อมกับมองหาจอมวายร้ายที่ฆ่าครอบครัวของเขาไปด้วย เพื่อล้างแค้น

โซนิค ความเร็วเสียง วายร้ายนินจาที่หุ่นนี่บางทีก็นึกไปว่ามันเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ออกมาโชว์ซุปเปอร์สปีดเพื่อจะพบว่าความเร็วแค่ไหนก็ไม่ทำให้ไซตามะรู้สึกกับโซนิคได้มากกว่าตัวประกอบ (แถมยังจำชื่อผิดไปอีกตะหาก 555)

คิง ฮีโร่ระดับ S Class ที่มีเบื้องหน้าเป็นชายที่น่ากลัวที่สุดในโลก แต่เบื้องหลังกลับเป็นแค่หนุ่มโอตาคุที่ไม่ได้เก่งอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมยังชอบเล่นเกมส์จีบสาวอีกตะหาก แม้ไซตามะจะเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของคิง(โดยไม่ตั้งใจ) แต่ดูเหมือนพี่โล้นแกจะไม่สนใจอะไรในตัวคิงเลยนอกจากเกมส์ที่ยืมมาได้ (และชอบเผลอเซฟเกมส์ทับโดยไม่ตั้งใจอยู่เรื่อย)

ฟุบุกิ สาวสวยหุ่นสุดเอ็กซ์ ที่เป็นฮีโร่คลาส B เป็นน้องสาวของ ทัตซึมากิ สาวเอสเปอร์ที่เป็นอันดับ 2 ของฮีโร่คลาส S ด้วยความเชื่อผิดๆที่ต้องการจะรวมพวก Class B หลายคนขึ้นมาเพื่อสร้างกองทัพไว้ต่อกรกับฮีโร่ที่ระดับสูงกว่า แต่ก็ต้องโดนไซตามะโชว์เทพจนสุดท้าย ก็อดเป็นปลื้มและมาขอเอี่ยวเทียวไปเทียวมาบ้านพี่แกเป็นระยะๆไม่ได้

แบงค์ ตาลุงเฒ่าล่ำบึ้ก ฮีโร่คลาส S อันดับ 3 เจ้าของหมัดสายน้ำอะไรสักอย่างที่ดูจะเทพมากๆ แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รับรู้ถึงความเทพของไซตามะ และยอมรับให้พี่แกเป็นหนึ่งในผู้ที่เก่งกาจที่สุดในความคิดของลุงแก

นอกจากนั้น หลายๆครั้ง เนื้อเรื่องก็จูงไปยังความเทพของพระเอก โดยการสร้างสถานการณ์ต่างๆให้พี่โล้นแกได้โชว์เทพอยู่เรื่อยๆ อย่างเช่น อุกาบาต ถล่มโลก ที่พี่โล้นแกก็ยัง "หมัดเดียวอยู่" เหมือนเดิม

หรือตอน "เจ้าสมุทร" ที่กว่าไซตามะจะพ้นจากการหลงทางไปถึงบอสได้ ฮีโร่หลายคนก็โดนตบจนเดี้ยงไปเป็นแถบ รวมถึง "ปุริ ปุริ ไพรซันเนอร์" ตุ๊ดล่ำบึ้กฮีโร่คลาส S หรือแม้แต่ จีนอสที่มาถึงก่อน ก็พ่นกรดใส่จนหายไปเกือบหมดทั้งตัว และก่อนหน้านั้นอีกมายมายที่โดนตบจนคว่ำกันเป็นแถบ แต่พอพี่โล้นแกมาก็ตามระเบียบครับ ตู้มเดียวจอด แล้วจากไปโดยเพิ่มสหายมาอีกหนึ่งคือ "ไรเดอร์ไร้ใบขับขี่" ที่ยอมรับในตัวพี่แกว่าเป็นฮีโร่ตัวจริง ขณะที่คนอื่นกลับมองว่าไซตามะเป็นแค่คนที่คอย "ชุบมือเปิบ" เท่านั้น

และมาพีคสุดๆเอาตอนที่เอเลี่ยนถล่มโลกครับ

มีอยู่ช็อตนึงที่ไซตามะโดนตบเปรี้ยงจนกระเด็นไปถึงดวงจันทร์ และพี่โล้นแกก็ลุกขึ้นมาพร้อมๆกับกลั้นหายใจเหมือนดำน้ำ แล้วก็กระโดดตู้มเดียวกลับมายังโลก

แค่ดอกนี้ดอกเดียวก็เห็นแล้วครับว่า พี่แกโหดแค่ไหน ขอบเขตพลังแกบ้าบอมากครับ

ยิ่งไซตามะบอกว่า ต้นเหตุความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นอยู่ที่ "การวิดพื้น 100 ที ซิตอัพ 100 ที และวิ่ง 10 กิโลทุกวัน" ยิ่งทำให้ความตลกและมั่วนิ่มมันเพิ่มเข้าไปอีก (ถ้าทำแค่นั้นแล้วเป็นอย่างไซตามะได้ล่ะก็ ป่านนี้พวกนักมวยคงกลายเป็นไซตามะกันหมดแล้ว 555)

ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะไปต่อได้ไกลถึงไหน แต่ด้วยการปูเรื่องที่ไม่ซับซ้อน ปริมาณตัวละคร และความถี่ในการออกแต่ละตอนที่แบบว่า (รอเป็นเดือน อ่าน 3 นาทีจบ) นะ น่าจะทำให้การ์ตูนเรื่องนี้วาดไปได้ไกลเรื่อยๆและสนุกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตอนที่ไซตามะได้รับฉายาฮีโร่ว่า "One Punch Man" ซึ่งผมคิดว่านั่นคงเป็นจุดจบ (หรือไม่ก็ใกล้ๆจบ) ของเรื่องล่ะนะครับ

ปล. เพลงเปิด openning ใน anime มันส์สลัดเลยครับขอบอก

....................

นอกจาก One Punch Man แล้ว การ์ตูนเรื่องอื่นที่ผมตามอ่านอยู่อย่างสนุกสนานและพลาดไม่ได้เลยในตอนนี้ ก็มีครับ อย่างเช่น

One Piece อันนี้ไม่ต้องบอกอะไรมาก

Black Cover การ์ตูนนอกสายตาที่เพิ่งมีมาไม่กี่ตอน แต่เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก สอดแทรกกับมุขตลกแบบถูกจังหวะจะโคน ความมุ่งมั่นและบ้าระห่ำของพระเอก กับอาวุธและเวทย์มนต์ที่เหลือรับประทาน รวมถึงตัวละครที่มีสเน่ห์อีกหลายตัวกับลายเส้นที่สวยงามใช้ได้ทีเดียว ใครไม่เคยลองอ่าน ลองหาดูนะครับ

Re:Monster การ์ตูนจาก Light Novel ของญี่ปุ่น ประมาณว่า 18+ พอสมควร แต่ทำเป็นมังงะแล้วไม่ได้ Hardcore มาก พอจะอ่านได้อย่างไม่ต้องเครียด เข้มข้นที่เนื้อเรื่องและการผสมผสานทางแฟนตาซีที่จริงๆแล้วแนวๆนี้ก็มีมาเยอะ แต่ผมชอบเรื่องนี้มากที่สุดครับ

Haikyuu การ์ตูนวอลเล่ย์บอลที่เพิ่งจะเคยเห็นคนวาดมาแล้วสนุกได้ขนาดนี้ อารมณ์ประมาณ Slamdunk ก็ไม่ปราณ (แม้จะยกให้เรื่องนั้นขึ้นหิ้งไปแล้วก็ตามที) เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อนครับ เป็นธรรมดาของการ์ตูนกีฬา แต่การวางสตอรี่ไลน์ การให้อารมณ์ที่ถึงลูกถึงคน การจัดวางองค์ประกอบต่างๆของเรื่องนี้ ทำได้ดีมากๆ Peak แล้ว Peak อีก บางตอนนี่ถึงกับตบเข่าผางเลยทีเดียว พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ

Kingdom การ์ตูนสงครามของจีนที่สนุกและน่าติดตามมากๆอีกเรื่องครับ พระเอกเท่ห์และเถื่อนดี ตั้งใจจะดู anime เร็วๆนี้ครับ

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตลก comment ที่ด่า HR ครับ 555

มีโอกาสได้อ่านกระทู้ "เด็กจบใหม่จ๋า ฟัง HR หน่อย..."

ซึ่งเนื้อหาในนี้เป็นความคิดเห็นจากเจ้าของกระทู้ที่ทำงานเป็น HR ได้ประมาณ 5 ปี เจ้าตัวเองยอมรับว่าไม่ได้มีประสบการณ์มากมายเหมือนคนที่อาวุโสกว่า รวมถึงยอมรับว่าตัวเองก็เป็นเด็กรุ่นใหม่พอกันกับเด็กจบใหม่สมัยนี้

ในเนื้อหา จขกท.ได้พิมพ์ความคิดเห็นส่วนใหญ่ถึงเรื่องเมื่อตอนที่ตัวเองเพิ่งเรียนจบและหางานทำ ได้มาสัมภาษณ์งาน ตจว.หลายครั้ง ผิดหวังก็หลายหน จนต้องสัมภาษณ์ถึง 5 ครั้ง กว่าจะได้งาน

ผมอ่านดูก็รู้สึกได้ว่า เป็นกระทู้ที่ดีเยี่ยมกระทู้หนึ่งครับ

มีการแชร์และเสนอความคิดในมุมมองของ HR ซึ่งมีประโยชน์ต่อเด็กจบใหม่ที่ต้องการจะหางานทำแน่ๆ แม้จะไม่ได้ยกตัวอย่างเคสเว่อร์ๆหรือสุดกู่อะไรนัก

นอกจากนั้นยังมี HR ท่านอื่นมาช่วยเสริมและเพิ่มข้อคิดเห็นให้ ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์อีกมากมายทีเดียวสำหรับคนที่ตั้งใจจะหางานทำหรือฝึกตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน ซึ่งส่วนใหญ่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากแน่ๆครับ

แต่ประเด็นมันมีอยู่ว่า

ในกระทู้นี้ มีหลายความเห็นที่เป็นความเห็นของ "คนที่มาสมัครงาน" ฝากถึง HR อีกหลายความเห็นเลยทีเดียว

และหลายๆความเห็นในนั้น ได้รับการกดถูกใจให้เป็นคอมเมนต์ตัวอย่างค่อนข้างมาก

ซึ่งผมอ่านๆไปแล้วก็.... เอ่อม..... แบบว่า....

ยกตัวอย่างนะครับ

เคส 1

สตรีท่านหนึ่งได้เข้ามาโวย HR ว่า ไม่ค่อยจะชอบอ่าน Resume ให้ดีก่อนเรียกมาสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ตนเองนั้นกำลังเรียนปริญญาตรีภาคพิเศษอยู่ (คือยังเรียนไม่จบว่างั้น) แต่ HR ก็เรียกมาสัมภาษณ์ และพอ HR ได้อ่านใบสมัครหรือ Resume ก็ประมาณว่า "อ้าววว ยังไม่จบป.ตรีหรือเนี่ย??" ทำให้เกิดอาการเหวอ โดยเฉพาะคนมาสมัครงาน ซึ่งก็ทำให้ต้องเสียโอกาสในการเดินทางมาหรือเตรียมตัวเพื่อสัมภาษณ์หลายครั้ง

ความคิดเห็นของผมคือ น้องคนนี้ไม่ได้ผิดอะไรครับ ผิดหลักๆก็น่าจะเป็น HR บางที่นั่นแหละ ที่ไม่ได้อ่าน Resume ให้ดีก่อน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยครับว่า HR ส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะรับใครหรือไม่รับใครมาทำงานในท้ายที่สุด ต้องมีการปรึกษาหารือกับหัวหน้าแผนกนั้นๆด้วยว่า จะรับคนที่มาสัมภาษณ์คนนี้คนนั้นหรือเปล่า ถ้าตำแหน่งที่มาสมัคร เป็นพนักงานระดับปฏิบัติงานที่มีการสัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็เป็นอีกเรื่องครับ HR อาจจะสัมภาษณ์เองได้เลย ก็ว่าไปเป็นเคสๆ

แต่เรื่องที่น้องผู้หญิงท่านนี้จะต่อว่า HR ว่าไม่ดูให้ดีก่อนเรียก ส่วนตัวผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นการผิดอะไรนัก เพราะถ้าน้องเรียนจบแล้วจริง HR จะเรียกมาสัมภาษณ์ก็ไม่แปลก การที่ HR เลือกใบสมัครมาจากเว็บไซต์ฝากงานหรือหางาน ส่วนใหญ่ เว็บพวกนี้มันจะมีให้กรอก "วุฒิการศึกษา" ไว้อยู่แล้ว HR ก็ search เอาจากในนี้แหละครับ เพราะฉะนั้น ถ้า HR ต้องการวุฒิปริญญาตรี แล้วเรียกน้องมาสัมภาษณ์ ก็มั่นใจได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR ก็เลือกจากประวัติที่น้องกรอกไว้ในเว็บนั่นล่ะครับ

แต่ถ้าไม่ได้เป็นการหางานผ่านเว็บ อย่างเช่น น้องเป็นคนส่งเมลล์ Resume เข้ามาหา HR เองสำหรับตำแหน่งที่น้องต้องการหรือที่ HR เขาติดประกาศไว้ ก็ต้องถามหน่อยล่ะครับ ว่าในตำแหน่งนั้นๆมันระบุชัดเจนหรือเปล่าว่า HR เขาต้องการพนักงานที่จบวุฒิอะไรมา?

ถ้าในนั้นเขาเขียนชัดเจน แล้วน้องยังส่ง Resume มาอีก วันสัมภาษณ์ HR ไล่กลับก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะน้องเองนั่นแหละ ที่เป็นคนทะลึ่งส่ง Resume เข้ามาในตำแหน่งงานที่น้องมี Qualify ไม่ถึงเอง

เพราะฉะนั้น ถ้ามั่นใจว่า เราเองลงข้อมูลทุกอย่างในเว็บไซต์หางานได้ถูกต้องกับความเป็นจริงของเราแล้ว หรือเรามั่นใจว่าวุฒิที่บริษัทเขาต้องการมันตรงกับเรา ก็ไม่มีปัญหาครับ

แต่ในเคสนี้ ผมอยากจะคิดไปว่า น้องยังเรียนไม่จบ แล้วจะของานของคนที่เรียนจบแล้ว HR ไม่โอเค เขาก็ไม่รับ ก็ถูกของเขาแล้วนี่ครับ ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าน้องจะเรียนจบมาจริงๆหรือเปล่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ

เคส 2

กรณี HR จะไม่รับเข้าทำงานหรือปฏิเสธ น้องๆหลายคนบ่นว่า ไม่ค่อยมี HR โทรแจ้ง

ผมแนะนำว่าอย่างนี้ครับ

ตอนสัมภาษณ์เสร็จ ก็ถามไปเลยครับ ว่า จะรู้ผลภายในประมาณกี่วันหรือกี่สัปดาห์
ถ้า HR โทรมาก่อนนั้น จะได้เข้าใจ หรือถ้าไม่มีการติดต่อมาเลย ก็จะได้เข้าใจเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรครับ HR ย่อมต้อง deal กับ candidate จำนวนมากอยู่แล้ว เอกสารอาจจะล่าช้าไปบ้าง บางทีก็เพราะต้นสังกัดแผนกนั้นๆเอาผลสัมภาษณ์ไปดองก็มี HR ก็ลืมตาม บลาๆๆ ร้อยแปด ฯลฯ ไม่ขอแก้ตัวแทน HR เพราะมันพลาดกันได้ แนะนำว่า ส่วนใหญ่ ไม่เกิน 2 อาทิตย์หรอกครับ ถ้าเกินนั้น ปล่อยทิ้งไปได้เลย หางานใหม่จะดีกว่าครับ

เคส 3

น้องคนนึงบ่นเรื่อง อยากให้เป็นการสัมภาษณ์แบบ 2-way Communication อันนี้ผมไม่เถียงครับ
ได้สื่อสารพูดคุยกันทั้งสองฝั่งมันดีกว่าถูกถามๆๆอยู่ฝั่งเดียวอยู่แล้ว

แต่ว่า อย่างที่บอก HR ไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องหน้างานทุกอย่างของแผนกที่น้องจะเข้าทำงานนะครับ อาจจะเป็นแค่การสอบถามให้ทุกอย่างมันผ่าน "ขั้นต่ำที่รับได้" ก่อน แล้วค่อยส่งคนที่สกรีนแล้วไปให้ต้นสังกัดก็ได้ ในกรณีที่ตำแหน่งนั้นๆมีคนมาสมัครเยอะ

คือ จริงๆ HR เขาก็ดูรวมๆน่ะครับ ไม่ได้จะบอกว่าคนนั้นคนนี้ผ่านไม่ผ่าน ควรได้ไปต่อหรือไม่อะไรยังไงหรอกครับ แต่เขาต้องการจะ สกรีน คนที่มันไม่ได้เรื่องออกไปก่อนจะส่งไปให้แผนกต้นสังกัดที่ต้องการคน เพื่อจะได้ลดกระบวนการสัมภาษณ์ ให้แผนกนั้นๆได้มีการพูดคุยกับผู้มาสัมภาษณ์ได้เต็มที่

ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR แค่ต้องการจะสกรีนคนที่ "คุยไม่รู้เรื่อง" หรือ "งี่เง่า" ออกไปครับ

แน่นอน เรื่องพวกนี้ มันมีคำว่า "อคติ" มาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่มากก็น้อย HR ไม่ใช่พระอรหันต์ บางคนก็อาจจะตัดความรู้สึกด้านลบบางอย่างออกไปไม่หมดแล้วตัดสินพนักงานก่อนจะส่งไปให้ด่านต่อไปก็เป็นได้

ถามว่า HR ผิดมั้ย?

ก็ผิดครับ แต่ไม่เต็มร้อย

ต้องถามคนที่มาสมัครงานด้วย ว่า ทำตัวดีแล้วหรือยัง คุยรู้เรื่องแล้วหรือยัง

ผมสัมภาษณ์คนมาเยอะครับ ส่วนใหญ่ เจอพวกพูดจาไม่รู้เรื่องนี่ ผมคุยๆผ่านๆพอเป็นพิธีแล้วก็ให้กลับได้เลยครับ ใครที่คุยรู้เรื่อง ก็คุยกันนานหน่อย

แต่หากเจอพวกไร้มารยาท หยิบโทรศัพท์ หมุนเก้าอี้เล่น พูดจาก้าวร้าวหรือกวนประสาท ห้าวไม่เลือก มั่นใจเกินเหตุ เก๋า เกรียน โชว์เทพ หรือหน้ามึน อันนี้ก็เชิญกลับเช่นกันครับ คุยกันแค่ 5 นาทีก็รู้แล้วว่าจะได้คุยกันต่อหรือเปล่า

เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่อง 2 way communication นั้น ผมว่า มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ Candidate นั้น ผ่าน Qualification ของ HR ไปได้ก่อนแล้ว ถึงจะได้คุยครับ

ดังนั้น ยังไงเสีย HR ก็คือประตูด่านหน้าที่จะบอกว่า น้องๆควรได้ไปต่อหรือเปล่า ระดับหนึ่งครับ ประมาทไม่ได้ ต้องศึกษา หาทางปรับเปลี่ยนบุคลิกตัวเองให้กลายเป็นคนแบบที่ HR ต้องการก่อน แล้วค่อยไปยังแผนกต้นสังกัดต่อไปครับผม

เคส 4

อันนี้ฮาครับ มีตัวเก๋าคนนึงมาบอกว่า HR นั้นไม่ได้เทพขนาดที่จะคุยกะใครไม่นานแล้วจะรู้ว่าคนๆนั้นทำงานได้ดีหรือเปล่า ให้รับเข้ามาก่อน รับให้หมด แล้วให้ทดลองงาน 1 สัปดาห์ ใครไม่เวิร์ค ให้ออก

อ่านอันนี้แล้วผมทั้งขำทั้งสมเพชครับ

น้องคนนี้น่าจะมีความ Aggressive เฉพาะตัวค่อนข้างสูง ไม่รู้ว่าห้าวเฉพาะในคีย์บอร์ดหรือเปล่า แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าเป็น top comment ผมก็จะแสดงความคิดเห็นของผมไปบ้างละกันครับ

เรื่องดูคนออกหรือไม่ออกน่ะนะครับ ต่อให้มีเวลาทั้งวันหรือทั้งอาทิตย์ มันก็ดูกันไม่ออกหรอกครับ ว่าคนๆนึง ทำงานได้มั้ย และมากไปกว่านั้น ทำงานได้ดีมั้ย?

คนส่วนใหญ่ ทำงานได้หมดแหละครับ ถ้าไม่ใช่งานเฉพาะด้านหรืองานระดับบริหารสูงๆ

ต่อให้คุยกันนานกว่านั้น มันก็ไม่มีเรื่องคุยกันครับ เพราะมันแค่คนไม่กี่คนมาทำความรู้จักกันในห้องสี่เหลี่ยม (บางที่ก็ห้องไม่เหลี่ยม) ของจริงมันอยู่ที่การทดลองงาน 120 วันครับ

ซึ่ง ไอ้การที่จะให้คนที่มาสัมภาษณ์ทั้งหมด เข้ามาทำงาน แล้วทดลองงาน 1 สัปดาห์ เพื่อดูว่า ใครทำงานได้ ใครทำงานไม่ได้ คนที่ไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ

ตอบเลยครับ ว่าบริษัทไหนที่ทำแบบนั้นนี่ ปัญญาอ่อนมากครับ

เพราะต้นทุนในการ New Employ คงสูงลิบ การจะสร้างให้พนักงานใหม่สักคนนั้นทำงานได้ ต้องให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในเวลาที่มากพอครับ งานบางอย่าง ทำกันไม่กี่วัน ขณะที่งานบางอย่าง ต้องฝึกต้องสอนกันเป็นเดือน ยิ่งเรื่อง "มนุษยสัมพันธ์" "ทัศนคติ" "ความเป็นผู้นำ" "ทีมเวิร์ค" "การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ของพวกนี้มันไม่ได้จะฝึกกันง่ายๆ

ถ้ารับทุกคนเข้ามาหมด แล้วดูที่การทำงานอย่างเดียว เรื่องความสามารถเชิง Mental อย่างอื่น จะวัดจะดูกันยังไงครับ

หัวหน้างานก็ไม่ได้ว่างจะมาสอนงานเด็กใหม่หลายคนพร้อมๆกันอีกต่างหาก เขาก็ต้องมีงานของเขาเหมือนกัน นี่ไม่ใช่สโมสรหรือชมรมอะไรสักอย่างที่จะมานั่งสอนงานให้กับเด็กน้อยวัยใสได้เต็มที่หรอกครับ

ทุกบริษัทเปิดรับสมัครพนักงาน ก็คาดหวังคนที่ทำงานได้เร็ว เรียนรู้งานได้ไว และเข้ากับผู้อื่นได้ทันที ไม่ใช่ต้องการเด็กทารกสักฝูงเอามาดูแล จ่ายค่าแรงให้ ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ เสื้อผ้า บลาๆๆ มันมีอีกเยอะครับ ที่เราไม่ควรต้องเสียไปกับคนที่ "อาจจะไม่ได้ร่วมงานด้วย"

สู้เอา budget ตรงนั้นไปมอบให้กับ คนที่ "อาจจะได้ร่วมงานด้วย" ไม่ดีกว่าหรือครับ

แทนที่จะมาเสียเวลาประเมินผลงานของคนหลายคน
สู้เอาเวลาไปเลือกไปคัดสรรคนแค่คนเดียวที่เหมาะกับตรงนั้นที่สุดมา แล้วค่อยมาดูอีกทีว่าเขาจะผ่าน 120 วันทดลองงานไปได้หรือเปล่า จะดีกว่ามั้ย

ส่วนเรื่องที่ว่า ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเด็กสักคนทำงานได้หรือเปล่า?

ผมก็ต้องตอบว่า มันก็เหมือนไปซื้อของในตลาดสดนั่นแหละครับ

ผลไม้ ผัก เนื้อหมู ปลา กุ้ง ฯลฯ

จะซื้อทั้งที ต้องดูเป็นมั้ยครับ ว่าอันไหนสด อันไหนไม่สด ดูแค่ภายนอกมันบอกไม่ได้ก็จริงว่าของชิ้นนั้นมันอร่อยหรือเปล่า

แต่จะให้ซื้อมาทั้งหมด แล้วกินทีละอัน อันไหนดีเก็บไว้ อันไหนไม่ดี เอาไปคืน งั้นเหรอครับ

ตลกเป็นบ้าเลย

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เป็นพนักงานประจำ....ปลายทางของชีวิตมันอยู่ที่ไหน? ใครๆก็พูดว่า "สักวันจะทำอะไรเป็นของตัวเอง" แล้ววันนี้คือวันไหนกันล่ะ?

ผมคงไม่พูดว่า งานประจำเป็นสิ่งไม่ดีครับ

มันดีครับ ดีจริงๆและมีประโยชน์ต่อชีวิตเรามากๆ

แน่นอน อย่างแรกคือมันทำให้เรามีกินมีใช้อยู่ทุกวันจากเงินเดือนที่ต้องจัดการบริหารมันให้ดี เราก็จะมีข้าวกิน 3 มื้อ มีที่ซุกหัวนอน มีเงินช็อบปิ้ง กินอาหารนอกบ้าน พาแฟนไปเที่ยว หรือแม้แต่มีเงินเก็บหรือเลี้ยงดูครอบครัวอย่างเหมาะสม

แต่ทำไม หลายๆคนส่วนใหญ่ถึงได้บ่นทุกครั้งที่ "วันจันทร์" มาถึง

ผมเข้าใจครับ

งานประจำมันน่าเบื่อก็ตรง "หัวหน้า" เป็นหลักนี่แหละ

สังเกตุมั้ยครับ ถ้างานเรามันไม่แย่จนเกินไป เงินเดือนพออยู่ได้ และหัวหน้าเรานั้นดี เรามักจะมองเรื่องการย้ายงานเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ

แต่พอวันนึง มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เราก็พบว่า เราอยากลาออก ไปหาอะไรสักอย่างทำ อะไรที่เป็นของเราเองจริงๆ

อยากจะตื่นสาย ไม่ต้องแหกขี้ตาขึ้นมานั่งรอรถบัส
อยากจะไปเดินห้างวันธรรมดา
อยากจะไม่ต้องตอกบัตรเช็คเวลาทำงาน
อยากจะไม่ต้องนั่งทำโอทีหลังขดหลังแข็ง
และอยากจะทำอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย

ผมคงไม่บอกว่า นั่นคือข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจหรอกครับ เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ว่า...
หากเราจะเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจในวันหนึ่ง
แล้ววันนั้นคือเมื่อไหร่ล่ะครับ?

ผมถามรุ่นน้องหรือลูกน้องหลายคน ถามถึงเรื่องอนาคตในการทำงานว่าอยากจะขึ้นไปถึงตำแหน่งไหน หรือได้ทำอะไรบ้างที่ตัวเองสนใจในอนาคต

แน่นอน ร้อยละ 90 ตอบว่า

"วันนึงจะมีธุรกิจของตัวเอง"

ผมก็บอกว่า มันดีนะ แต่ไอ้วันนั้นที่ว่าน่ะ มันเมื่อไหร่กันล่ะ?

เพราะในเมื่อเรายังทำงานประจำอยู่ ตอนเช้าไม่ต้องพูดถึง ตื่นมารีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ตอนเย็นเลิกงานกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็ทุ่มสองทุ่มไปแล้ว วันไหนหนักหน่อยก็ทำโอที ถึงบ้านทีก็ข่าวจบแล้วนู่น

ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องขอพักผ่อนกันบ้าง ต้องทำงานบ้าน ต้องซักผ้า ต้องไปหาอะไรกินกับเพื่อน นัดแฟนดูหนัง ไปทำนู่นทำนี่ เผลอๆอีกทีก็กลายเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็นไปเสียแล้ว

แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเริ่มทำอะไรของตัวเองล่ะ

จะให้ไปศึกษาอะไรใหม่ๆ ก็ลำบาก เพราะไม่มีเวลาจะทุ่มเท
จะให้ไปขายของทั่วไปที่คนอื่นก็ขายกันอยู่เยอะแยะ ก็มองออกว่ายังไงก็รวยและหากินระยะยาวไม่ได้

สุดท้าย วันจันทร์ก็กลับมาอีกครั้ง

และลูปนี้ก็วนต่อๆไปจนครบเดือน ครบปี ถึงวันเกิด
บางคนเป่าเค้กโดยไม่คิดอะไร ดีใจที่ได้มาฉลองกับเพื่อน

แต่บางคน กลับนั่งคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา นี่ตูมีอะไรดีกว่าปีที่แล้วมั่งวะ นอกจากเงินเดือนขึ้น 6%

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นง่ายๆครับ

อะไรบางอย่างที่เราทำแล้ว เรารู้สึกว่า "ดีใจ" ที่ได้ทำมัน หรือ ดีใจ ที่ได้ "เก่งขึ้น"

อะไรบางอย่างนั้น หากเราทำไปสักพัก ทำไปนานๆเข้า มากกว่าคนอื่นส่วนใหญ่ เราก็จะกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนรอบตัวได้ไม่ยาก

ไม่เชื่อลองนั่งคิดดูสิครับ อะไรบ้างที่เราคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คือพูดไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเรานั้น Advance ไปแล้วโคตรๆ

ไม่ใช่เรื่องอัพเดตชีวิตอย่าง ข่าว หรือ ละคร อะไรพวกนั้นนะครับ
รู้ไว้มันก็ดี แต่ถ้ามันทำให้เราสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์

เหมือนที่ อ.เฉลิมชัย ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าเก่งแล้วจน คือมึงไม่เก่ง" หรือ "มึงจะเก่งไปทำไม?"

ผมถามลูกน้องเหล่านั้นอีกครั้งว่า "แล้วธุรกิจที่ว่า อยากจะทำอะไรล่ะ"

บางคนอ้ำอึ้ง บางคนก็คิดสักพักแล้วก็ตอบได้ว่า อยากเปิดร้านเสื้อผ้ามั่งล่ะ อยากเปิดร้านอาหารมั่งล่ะ อยากซื้อเฟรนช์ไชส์มาทำมั่งล่ะ ฯลฯ

ผมบอกว่า มันก็ดีนะ แต่ไอ้วันนั้นน่ะ มันจะมาถึงเมื่อไหร่

ก็เงียบกันหมด บางคนตอบได้ว่า 5 ปีครับ 3 ปีค่ะ ฯลฯ

ผมก็ถามต่อว่า แล้วไอ้วันก่อนจะครบ 5 ปี 3 ปี นั่นน่ะ เราจะพร้อมสำหรับธุรกิจพวกนั้นแล้วใช่มั้ย?
รู้แล้วใช่มั้ยว่าลาออกไปแล้วจะอยู่รอดได้ หรือไม่อดตาย

...เงียบกริบ...

สิ่งที่ผมต้องการบอกน้องๆทุกคนก็คือ

มันไม่มีทางหรอก ที่วันนึงอยู่ดีๆตื่นมาแล้วจะมีร้านของตัวเองรอให้เราไปเปิด Grand Openning พร้อมลูกค้าที่มายืนรอคิวให้เรารับออเดอร์

มันต้องค่อยๆสร้างครับ จาก 0 ไปเป็น 1,2,3,4,.... จนถึง 100 หรือ 1000

ซึ่งไอ้สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ ยิ่งในตอนเริ่มต้น มันยิ่งยากกว่าเป็นหลายเท่า

ผมสรุปจบการสนทนากับน้องๆด้วยการแนะนำให้พวกเขาไปเริ่มหาอะไรเรียนรู้เพิ่มเติมเสียบ้าง มากกว่าอยู่เฉยๆหรือรอให้อะไรบางสิ่งมันเกิดขึ้น นั่นเรียกถูกหวย ไม่ใช่ประสบความสำเร็จในชีวิตครับ

แล้วเมื่อวันนึง วันที่เรามีความรู้ มีความมั่นใจมากพอ เราจะลองเริ่มนับ 1 จากตอนแรกที่มีแค่ 0

และใครจะรู้ล่ะ ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน

ถึง 10
ถึง 100
หรือถึง 1000

มีแค่ชีวิติของใครของมันครับ ที่จะหาคำตอบเหล่านี้ได้เท่านั้น

เอาใจช่วยทุกท่านให้ต่อสู้และไม่หยุดนิ่งครับผม

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อีก 76 วันของการเป็นลูกจ้าง - ความสัมพันธ์

ผมกับแฟนงอนกันไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นระยะๆ เป็นช่วงๆ

ช่วงไหนที่มีเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆเข้ามาทำให้เธอเข้าใจผมผิด หรือบางอย่างมันขัดใจเธอ ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการงอนครั้งใหม่ที่แน่นอนว่า คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเอาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาปนจนกลายเป็นเราเองที่อาจจะเป็นฆาตกรในสายตาเธอไปได้ในที่สุด

ความผิดส่วนใหญ่มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงมากนักหรอกครับ มันก็เรื่องเล็กๆน้อยๆกันนี่แหละ

ผมได้ฟังเรื่องราวมากมายจากน้องๆที่ทำงานหรือคนที่มีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับผมตามประสาพี่น้องเพื่อนฝูง

สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้มากที่สุด กลับไม่ใช่คู่ของเราไม่เป็นอย่างใจเราครับ

แต่มันคือ "การเปรียบเทียบ" ต่างหาก

เปรียบเทียบกับแฟนเพื่อน
เปรียบเทียบกับตัวเอกในละคร
เปรียบเทียบกับแฟนเก่าตัวเอง
หรือเปรียบเทียบกับใครก็ตามในชีวิต ไม่ว่าเขาจะมีตัวตนจริงๆหรือไม่ก็ตาม

และนั่นย่อมไม่ก่อให้เกิดผลดีตามมาเป็นแน่ครับ

ผมไม่รู้ว่าการถูกเปรียบเทียบกับใครจะแย่ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่เปรียบเทียบ นั่นน่าจะดีที่สุดครับ

ยอมรับว่าครั้งนึง เคยโดนเหมือนกันครับ มันเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บเสียอีกที่ได้รู้ว่า เรานั้นห่วยเหมือนคนๆนั้นที่แฟนยกตัวอย่างมา หรือเรานั้นแย่แค่ไหนเมื่อเทียบกับพระเอกที่เขาพูดให้ฟังแล้วเราเป็นแบบนั้นไม่ได้

จะว่าไป ตอนเริ่มคบกันใหม่ๆ เรื่องพวกนี้มันไม่มีประเด็นเท่าไหร่หรอกครับ

เพราะคนสองคนอยู่กันได้ สบายใจ และเป็นตัวของตัวเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเริ่ม "คบกัน"

แต่เชื่อมั้ยครับ เวลาผ่านไป สิ่งที่มันมีมากขึ้นไม่ใช่แค่ "ความผูกพันธ์" แค่อย่างเดียว

แต่กลับเป็นการ "คาดหวัง" ที่มากขึ้นด้วย

คุณผู้หญิงก็จะคาดหวังว่าแฟนของตัวเองนั้นต้อง

"คิดเองได้"
"เข้าใจเธอมากที่สุด"
"ตามใจเธอมากๆเหมือนเดิมและเพิ่มขึ้นด้วย"
"มองเธอว่าเป็นคนเดียวที่สวยที่สุด"
"ทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี"

ไม่ว่าจะหวังไว้อย่างไร เชื่อมั้ยครับว่าส่วนใหญ่นั้น ผิดหวังไปตามๆกัน

เพราะ "ผู้ชายนั้น ไม่เคยเปลี่ยน" ครับ

เขาจะเป็นสิ่งที่เคยเป็นเมื่อตอนแรกรัก เพราะเข้าใจว่า ที่ผู้หญิงของเขาเลือกเขาให้เป็นแฟน ก็เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่คบกันแล้ว จะให้เขาเป็นอีกคนนึงที่ไม่ได้เป็น

ถ้าผู้ชายคนไหนคิดได้ว่า ที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้เขาเป็นอีกคน หมายถึง "คนที่ดีขึ้น" ไม่ใช่คนอื่น ผู้ชายคนนั้นก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เธอพึงพอใจมากขึ้น

แต่ถ้าชายคนไหนที่ไม่ได้คิดแบบนั้น และยืนกรานหนักแน่นว่า "ก็ตูเป็นของตูแบบนี้นี่หว่า ให้ทำไง"

สิ่งที่จะตามมาคือ การทะเลาะกันครับ แน่นอนว่าผู้หญิงนั้นต้องการให้ผู้ชายเป็น "ชายที่ดีขึ้น" ซึ่งสวนทางกับความคิดของผู้ชายส่วนใหญ่ ว่าเขานั้น "ดีอยู่แล้ว คุณถึงเอาเราเป็นแฟนยังไงล่ะ"

และถ้าปลายทางมันไม่เป็นอย่างที่คิด จะมีอย่างน้อยคนนึงที่ทุกข์ครับ

ทุกข์เพราะผิดหวัง ไม่ได้อย่างใจ
ทุกข์เพราะผิดหวัง ทำไมต้องมายุ่งกับฉันด้วย

ขณะที่ในมุมมองผู้ชายนั้น ตอนเริ่มคบกับผู้หญิง ก็เพราะรู้สึกว่า อยู่ด้วยกับเธอแล้วช่างสบายใจยิ่งนัก เป็นตัวของตัวเองได้มากกว่าสาวคนอื่น พวกเขาจึงขอเธอเป็นแฟน และเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยกันเพื่อค้นหาว่า เราจะไปกันได้ไกลแค่ไหน

ปัญหาคือ สำหรับผู้หญิงนั้น เมื่อได้รู้สึกดีกับใครด้วยแล้ว พวกเธอก็มักจะเปลี่ยนร่าง แปลงตัวเองให้กลายเป็น "นางเอก" ในฝันของพวกผู้ชายไปซะอย่างนั้น

เหมือนเป็นกับดักก็ไม่ปาน พวกผู้ชายหลงคิดไปว่า นี่คือตัวตนจริงๆของเธอ สาวน้อยที่ว่าง่าย เอาใจเรา ไม่งี่เง่า ไม่เรื่องมาก ไม่จู้จี้ ไม่ขี้บ่น ไม่ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ชวนทะเลาะ เธอช่าง Perfect เสียนี่กระไร

ดังนั้น จะปล่อยเธอไปก็กระไรอยู่

การขอเธอเป็นแฟนจึงได้นำพาพวกเขาทั้งสองให้ร่วมกันเดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกว่า "ชีวิตคู่" กลายๆ

ไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานนะครับ เอาแค่คบกันนี่แหละ

และเมื่อเวลาผ่านไป

ใครมันจะเป็นนางเอกแสนดีได้ตลอดเวลาล่ะ

สาวเจ้าก็ย่อมต้องกลับสู่ธรรมชาติเดิมของพวกเธอครับ ขี้บ่น ขี้เหวี่ยง ขี้วีน จู้จี้ จุกจิก ฯลฯ
(ไม่พูดต่อละกันนะ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกัน)

พวกผู้ชาย ก็เริ่มงงสิครับ อ้าว... ทำไมตอนแรกไม่เป็นแบบนี้วะเนี่ย จะได้รู้กันก่อนคบ

ซึ่ง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผู้หญิงเขาจะแสดงตัวตนของตัวเองจริงๆออกมา ก็ต่อหน้าคนที่เขาให้เป็น "คนรัก" เท่านั้น จึงมีแต่คุณผู้ชายผู้โชคดีเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินั้น พร้อมแรงเหวี่ยง 8G ที่พร้อมจะพังบ้านของเราให้มาคุได้ตลอดเวลา

และเรื่องที่ผู้หญิงเหวี่ยงมันคืออะไรกันล่ะ?

ถามได้ครับ ก็เรื่องที่ ผู้ชาย "ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือทำอะไรให้ชีวิตคู่มันดีขึ้นบ้างเลย" นั่นแหละ

พอเข้าใจมั้ยครับ?
ผู้หญิงคบกับผู้ชายสักคน ก็คาดหวังว่าเขาจะดี... ดีพอที่เธอจะฝากความหวังและความฝันทั้งชีวิตไว้ด้วยได้ ซึ่งหากมันไม่เป็นไปตามนั้นแม้สักข้อเดียวใน 100 ข้อ

เธอก็มีเหตุผลมากพอที่เหวี่ยงพวกเราได้เต็มที่ครับ

ซึ่งจริงๆปลายทางของเรื่องนี้มันมีแค่ "นี่เธอไม่คิดจะ.... มั่งเลยเหรอ?"

คิดหรือไม่คิดไม่รู้ รู้แค่อย่างเดียวว่า "แฟนกูสั่ง"

และนั่นทำให้ชายหลายคนไม่ชอบครับ พวกเขาจึงอยากออกจากบ้าน ไปหาเพื่อน เพราะเพื่อนไม่จู้จี้หรือบอกให้เขาเปลี่ยนอะไร ไปหาเด็กดริ๊งค์ เพราะพวกเธอต้องการแค่ค่าดริ๊งค์และก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะต้องมีเรื่องอื่นที่ดีกว่าเงินในกระเป๋าตังค์

แย่สุดคือ ไปหา กิ๊ก หรือเด็กใหม่สักคนครับ

เพราะผู้ชายจะได้รับ "ช่วงเวลา" อันสุดแสนจะมีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเองนั้นใหม่อีกรอบ

และปัญหาอีก 50 โขยง ก็จะตามมาอีกเป็นพรวนครับ



ดังนั้น หากใครจะมองว่า ความสัมพันธ์มันคืออะไร

มันคือเรื่องที่มีแค่ "คนสองคน" เท่านั้นครับ

เมื่อใดก็ตามที่คุณดึงเอาคนที่ 3 เข้ามา

จะมีคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยที่เจ็บปวด และรอยร้าวที่เกิดขึ้น จะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิมได้อีกเด็ดขาดครับ

ผมเลยต้องนิ่งเอาไว้ นิ่งให้มากที่สุดเพื่อจะไม่ยอมให้ตัวเองออกไปจากบ้านตอนที่ทะเลาะกับแฟน หรือไปหาความสุขที่อื่น

เต็มที่คือ ฟังที่แฟนบ่น ขอโทษเธอ และปล่อยให้เธอไปอาบน้ำนอน ส่วนเราก็นั่งทำงานต่อไปหน้าคอมตัวเองเรื่อยๆครับ

ดีที่สุด


แล้วของพวกคุณล่ะครับ

วิธีแก้ปัญหาเวลาทะเลาะกับแฟน

มันช่วยให้พวกคุณไม่ต้องสร้างปัญหาอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก ใช่มั้ยครับ? ^^

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

เหลืออีก 92 วันของการเป็นลูกจ้าง - สิ่งที่ผมอยากฝากน้องๆในที่ทำงาน

1. จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ

ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างก็เกิดขึ้นได้เสมอรอบตัวเรา และส่วนใหญ่ เราจะรับมือกับมันไม่ค่อยทันเสียด้วย เพราะฉะนั้น การ "เตรียมพร้อม" ในหลายๆด้าน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆกับการทำงานทุกวันให้ดีที่สุด

2. เมื่อเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ อะไรๆมักไม่ดีขึ้นกว่าเดิม

ร้อยละ 80-90 เมื่อมีการเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม โอกาสที่จะได้หัวหน้าที่ดีกว่าเก่านั้น ยากเหลือเกิน เคสเดียวที่ผมรู้สึกว่าจะได้หัวหน้าใหม่ที่ดีขึ้นก็คือ เมื่อหัวหน้าเก่ามันห่วยแตกเสียสิ้นดี และการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น นั่นแหละ จึงจะทำให้เราได้หัวหน้าใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ในกรณีอย่างเช่น หัวหน้าทำงานหมดวาระ ต้องไปประจำสาขาอื่น (เพราะทำงานดี) หรือมีการโยกย้ายแผนกกันของระดับบริหาร ตัวอย่างพวกนี้ มักได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ลูกน้องต้องเผชิญกับหัวหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่นัก

3. อย่าอยู่ใน Comfort Zone นานจนเกินไป

เมื่อเราทำงานได้ระดับหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เรายัง "อยู่ได้" นอกจาเรื่องหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของ "ความเคยชิน" ที่นับเวลาผ่านไปก็จะยิ่งทำให้หลายๆอย่าง "ฝังลึก" เข้าไปในโครโมโซม ทางความคิดและพฤติกรรมเรามากขึ้น

หัวหน้าบางคนไม่ได้สนใจข้อเสียของลูกน้องและไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมันเพราะยังทำงานได้ แต่ในระยะยาว นิสัยไม่ดียังไงซะ ก็จะกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้อย่างแน่นอน

4. อย่าทำแต่งาน

หลายๆคนพอได้เข้าทำงานที่มีความมั่นคง บริษัทดูจะไม่เจ๊งไปได้ง่ายๆ ก็ทำไปเรื่อยๆ สักแต่ว่าทำๆไป รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมา 3 ปี 5 ปี แล้ว ตัวเองยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหนเท่าไหร่ไกลเลย ขณะที่เพื่อนๆคนอื่นของเราต่างก็เริ่มมีความก้าวหน้าให้เห็นบ้างแล้ว แต่เรายังคงเหมือนเดิมตลอด

เป็นเพราะเราเริ่มมี "นิสัยพนักงานประจำ" ที่เกือบๆจะเหมือน "เช้าชามเย็นชาม" ยิ่งถ้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นด้วยแล้ว เขาไม่ได้สนใจว่าเราจะมีความสุขนอกที่ทำงานด้วยหรือเปล่า แค่เข้ามาที่บริษัท ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น และกลับบ้าน ที่เหลือ เรื่องของคุณ

นั่นคือประเด็นที่ทำให้เรามีข้ออ้างอย่างสม่ำเสมอที่จะ "ไม่ทำอะไรเลย" ในช่วงหลังเลิกงานจนถึงเวลานอน นอกจาก "พักผ่อนอย่างไร้สาระ"

ผมไม่ได้บอกว่าการพักผ่อนไม่ดี แต่ถ้ามันมีมากจนเกินไป มันก็ไม่ใช่ประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคตเช่นกัน

แล้วแค่ไหนถึงเรียกว่า "พักผ่อนเยอะเกินไป" ล่ะ?

ไม่ยากครับ

ดูแค่เวลาที่เรา "ไม่ได้ทำงานประจำ" นั้น เราเอามาทำอะไรที่มันจะ "ต่อยอด" ให้ตัวเราเองในอนาคตได้มากแค่ไหน เราทำอะไรที่ทำให้เรา "มีเงินมากขึ้น" หรืออย่างน้อย "มีความสามารถมากขึ้น" ในอนาคตอันใกล้ได้บ้าง

อย่าหลอกตัวเอง ว่าการดูหนังจะทำให้เราได้รู้เรื่องหนังมากขึ้น หรือการชอปปิ้ง จะช่วยให้เราเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ดียิ่งกว่าเดิม ถ้าการทำทุกอย่างที่ว่าไปนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรืออนาคตที่ "ดีกว่าเดิม" อย่างจับต้องได้

นั่นก็แปลว่า คุณพักผ่อน "มากเกินไป" ครับ

5. อย่าให้ชีวิตมีแต่ "ทีทำงาน" กับ "ที่บ้าน"

คล้ายข้อที่แล้ว คือ หากเราทำงาน เหนื่อย กลับไปบ้าน ก็เหนื่อย หรือบางที กลับจากออฟฟิศเข้าบ้านมา ก็ยังปลดระวางความเครียดหรือความรู้สึกไม่ดีจากที่ทำงานได้ เช่นเดียวกัน ครอบครัวมีปัญหา ทะเลาะกับแฟนมา แล้วมาทำงาน ก็คงจะออกมาดีหรอกนะ

การที่ชีวิตมีแค่ "สองด้าน" มันจะคานน้ำหนักด้านอารมณ์กันเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครแยกแยะได้จริงๆร้อยเปอร์เซนต์หรอกว่า เรื่องงานส่วนเรื่องงาน เรื่องที่บ้านส่วนเรื่องที่บ้าน มันปนเปกันเสมอ แค่ใครแยกแยะได้มากกว่าน้อยกว่าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผมเลยมักจะแนะนำไปว่า จงหา "อย่างที่ 3" เข้ามาสร้างสมดุลให้มีมากขึ้น เช่น งานเสริม กิจกรรมยามว่างที่มีประโยชน์ อาจเป็นการออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือ หลักๆคือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มากกว่าทั้ง ที่ทำงาน และที่บ้าน (แน่นอนว่าใครที่เป็นคนโสดอยู่คนเดียว เรื่องนี้ก็อาจจะเบากว่าคนมีครอบครัวแล้ว)

6. เริ่มออมแต่วันนี้

ไม่มีข้ออ้างใดๆ การออมทั้งที่ยังมีเงินน้อย ไม่ใช่การออมเพื่อรวย แต่เป็นการสร้างนิสัย ให้เราสามารถฝึกตัวเองไม่ให้ใช้ "เงินทั้งหมด" ได้

เงินเดือนออก เก็บก่อนเลย 10% 15% 20% ว่าไป แล้วแต่ใครจะสะดวก (แต่ต่ำๆสุดควรจะอยู่ที่ 10% นะครับ)

เด็กๆชอบอ้างว่า ยังไม่ทันได้ใช้เงินเลย หนี้ก็มาแล้ว หรือหมดตั้งแต่วันแรกที่เงินเดือนออกแล้ว

เชื่อผมครับ "ลอง-ทำ-ดู-ก่อน" แยกเงินเก็บออกมาเลย วางไว้อีกที่ แล้วใช้เท่าที่มีจากปกติ อาจจะเหลือ 90% ก็ใช้ไป มันอยู่ได้ครับ จริงๆ เชื่อผม ไม่มีใครตายเพราะเงินลดลงไม่กี่สิบ % หรอก แต่จะตายเพราะหนี้ที่ไม่ควรเกิดตะหาก

และจากการเก็บได้เดือนละ 10% ก็เพิ่มไปเรื่อยๆ ทีละนิดๆ อาจจะเพิ่มเดือนละ 0.5-1% ก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ลองมองดูครับ ปลายทางของเรา เราจะเก็บเงินได้เก่งแค่ไหน ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอเค ถึงจุดนึงมันอาจจะฝืนต่อไม่ไหว แต่อย่างน้อยเราก็รู้แล้วครับ ว่า limit เราอยู่ที่ตรงไหน

และนั่น คือการเริ่มต้นของนิสัยคนรวยครับ

7. พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง คล้ายๆกับข้อก่อนหน้า อย่าหยุดคิด อย่าหยุดศึกษา อย่าหยุดทำให้ตัวเองดีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้เรายังไม่ใช่คนที่ "ประสบความสำเร็จ" แต่วันข้างหน้าเหล่านั้นอาจไม่มาถึงเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ "เริ่มต้น" ทำบางอย่างเสียแต่วันนี้

ว่าแต่ว่า "บางอย่าง" ทีว่าน่ะ

สำหรับคุณ มันคืออะไร?

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่อยากบอกกับน้องๆนักศึกษา #2 - วินัย สำคัญกว่าสิ่งอื่นเสมอ

จริงๆไม่ได้บอกว่าอย่างอื่นไม่สำคัญ เพราะในการใช้ชีวิตและการประสบความสำเร็จ ความสามารถหลายๆอย่าง ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด แต่ทั้งนี้ เราต้องแยกมันให้ออก ระหว่างการ "ใช้ความสามารถ" กับการ "สร้างความสามารถ"

สมัยนี้ เด็กๆจบใหม่หลายๆคน มักจะตั้งคำถามและวางเป้าหมายว่า "ฉันจะต้องรวย ต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ หลังจากนี้อีกกี่ปี บลาๆๆ ฉันจะเป็นนายตัวเอง บลาๆๆ"

คือ มันไม่ผิดหรอกครับ ที่จะวางเป้าหมายและความฝันไว้อย่างนั้น เพื่อให้เราได้เห็นเส้นชัยในการใช้ชีวิต คนเรามันมีเวลาไม่มาก ถ้าไม่ใช้ให้คุ้ม ก็อาจจะเสียดายในวันหนึ่งของชีวิตได้

แต่เราต้องเข้าใจมันก่อนว่า ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย และมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบพลิกฝ่ามือชั่วข้ามคืน

สตีฟ จ็อบ ยังต้องใช้เวลามากมายกว่าจะสร้าง Mac เครื่องแรกออกมาได้
ไอน์สไตน์ ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขานั้นถูก
เอดิสัน ต้องล้มเหลวหลายร้อยครั้งว่าจะพบหนทางผลิตหลอดไฟ

แล้วเราเป็นใคร ถึงจะประสบความสำเร็จแบบนั้นในเวลาอันสั้นได้

บางคนนี่หนักเลยครับ อยากสำเร็จภายในปีเดียว จะมีเงินเป็นสิบๆล้าน

มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันต้องค่อยๆสร้าง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มันไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ

และความสามารถที่เรามีและนำมาใช้ได้นั้น บางที มันก็ต้องฝึกฝน เพิ่มพูน พัฒนา และแตกแขนงออกไปโดยมีข้อจำกัดด้านเวลามาคั่นกลางเสมอ

ต่อให้เราเป็นคนที่เก่งล้นฟ้า แต่เราจะประสบความสำเร็จไปไม่ได้เลยถ้าหากขาด "ความสม่ำเสมอ" ที่จะค่อยๆสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้ค่อยๆมีมากขึ้นๆ จนวันหนึ่ง มันกลายเป็นความสำเร็จที่คนอื่นมองมาที่เราและเรายอมรับกับตัวเองได้ว่า "เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว"

ดังนั้น หากเราไม่มี "วินัย" ที่จะทำมันอย่างต่อเนื่อง นับวัน นับเดือน นับปี ไปถึงหลายๆปี บางที มันอาจจะไม่สำเร็จ และกลายเป็น "ล้มเหลว" จนเราต้องเลือกที่จะ "ล้มเลิก"

แต่รู้มั้ยครับ หากเรา "ล้มเหลว" แต่ "ไม่ล้มเลิก" แล้วล่ะก็ วันหนึ่ง ความสำเร็จนั้นจะปรากฏตรงหน้าเราเอง ไม่ช้าก็เร็ว

เคยเห็นรูปภาพ ที่มีคนหลายคนขุดเพชรใต้ดินมั้ยครับ บางคนทิ้งจอบไปตั้งแต่ก้าวแรกๆ บางคนขุดไปจนเกือบจะถึงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ก็ดันล้มเลิก ส่วนบางคน กำลังเพิ่งจะเริ่มต้น ไม่ได้มองเห็นด้วยซ้ำว่าต้องไปอีกไกลแค่ไหน

จะน่าเศร้าแค่ไหนกันครับ หากเรานั้นเป็นคนที่อยูห่างจากเพชร (หรือความสำเร็จ) นั้นแค่ไม่กี่เซนติเมตร แต่เพราะระยะทางที่เราขุดมามันยาวนานเสียเหลือเกิน นานจนเราท้อใจที่ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางเลย และสุดท้าย กลับต้องทิ้งจอบแล้วเดินกลับทางเก่า

โอเคครับ ในภาพนี้มันบอกเราให้อย่ายอมแพ้

แต่ในชีวิตจริง ผมเชื่อว่า หากมีการขุดเพชรแบบนี้จริงๆ เพชรมันคงกระจายตัวอยู่ใกล้ๆ และหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเข้าไปใกล้มากขึ้น

เราน่าจะได้รับเพชรบางเม็ด ระหว่างทางที่ขุดเข้าไป และมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย และนั่น อาจจะมากพอให้เราขุดต่อไป เพราะเราเห็นแล้วว่า "เรามาถูกทาง"

เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ จริงๆ ก่อนจะถึงความสำเร็จ เราจะเห็นหรือได้รับ "รางวัลเล็กๆ" ก่อนเสมอ นั่นคือแรงส่งให้เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปลายทางได้

แต่กระนั้นก็ตาม หากเด็กจบใหม่วัยรุ่นสักคนจะเริ่มขุด ทั้งๆที่เห็นคนนับร้อยนับพันขุดกันไปแล้ว สำเร็จก็มี แต่ล้มเหลวนั้นเยอะกว่า ถามว่า เด็กเหล่านั้นจะเริ่มต้นจับจอบขุดดินเลยไหม

อันนี้ผมตอบยาก

แต่เท่าที่เห็น อะไรที่มัน "ทำตามๆกัน" หรือ "ใช้เวลานานเป็นปีๆ" เด็กส่วนใหญ่ (และผู้ใหญ่หลายๆคน) ก็เริ่มที่จะหาหนทางอื่นกันแล้ว ส่วนน้อย ที่เริ่มต้นและทำไปโดยไม่คิดว่าจะถอยกลับ

แต่กระนั้น หนทางอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ ธุรกิจอื่นๆ งานอื่นๆ ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ มันก็ต้องใช้ "ความมุมานะ" และ "พยายาม" อย่าง "ต่อเนื่อง"

ย้ำนะครับ ว่า "ต่อเนื่อง"

ไม่งั้น มันก็ไม่สำเร็จเช่นกัน

ทางอื่นอาจจะสั้นกว่า เพราะ "คนอื่นยังไม่ค่อยเห็น" หรือ "เราเก่งกว่าคนทั่วไป" มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราจะไปได้ถึงจุดหมายเร็วกว่าชาวบ้าน

แต่กระนั้น ยังไงซะ เราก็ต้อง "ทำ" อย่าง "ต่อเนื่อง" ไปเรื่อยๆจนจบ ไม่งั้น เพชร ก็จะไม่มีทางมาอยู่ในมือเราอยู่ดี

เพราะงั้น ผมถึงบอกว่า "วินัย" สำคัญกว่าอย่างอื่นมากๆไงครับ

ถ้าเราไม่เก่งเรื่องอะไร ก็ฝึกฝนมัน ทำมัน เรียนรู้มัน อย่าง "ต่อเนื่อง" แล้ววันนึง เราก็จะเก่งกว่าคนทั่วไป และเมื่อนั้น เราก็จะขุดดินได้ดีกว่าคนอืน เท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไรมาก

แต่จากตรงนี้ ถึงจุดสุดท้าย

"การเริ่มต้น" ก็เป็นสิ่งที่ยากพอๆกัน

เหมือน "จีบสาว" นั่นแหละครับ

ตอนเริ่มต้นน่ะ "ยากชิบเป๋ง"

แต่พอเริ่มไปแล้ว เราทุกคนต่างรู้ว่า หากมันเวิร์ค และความสัมพันธ์มันได้เริ่มต้น

"ความมีวินัย" ในการรักษาความรัก การดูแล เอาใจใส่ต่างหาก ที่จะทำให้ความรักนั้น "อยู่รอด"

หรือแม้แต่เรื่องเรียนก็ตาม
จะสอบให้ได้ มันเอาเวลา 20 ชม.ก่อนเข้าห้องสอบ มาอ่านหนังสือทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ มันไม่พอ มันคือการฝืนธรรมชาติ
หากจะสอบให้ได้ (และให้ได้ดี) เราต้องเข้าเรียน ทำการบ้าน ฝึกฝนทบทวน "อย่างสม่ำเสมอ" ผลสอบมันถึงจะออกมาดี

เห็นมั้ยครับ ไม่มีอะไรต่างกันเลย แทบจะในทุกๆเรื่อง

เพราะฉะนั้น ก่อนจะบอกตนเองว่า "เราเก่ง เรามีความสามารถ" อย่าลืมด้วยนะครับว่า

"ความมีวินัย" ของเรานั้น มีมากพอหรือเปล่า

เพราะชีวิตมันไม่ใช่การเล่นเกมหรือเดิมพันแบบครั้งเดียวจบ

แต่มันคือการสู้ แล้วล้ม แล้วสู้ แล้วล้ม แล้วสู้ต่อ

สู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งความสำเร็จนั้นมาถึง

และในเวลานั้น เราถึงจะได้รับสิ่งที่เราสมควรได้ ในท้ายที่สุดนั่นเอง