วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

3 วันสุดท้ายของการเป็นลูกจ้าง

นี่คงเป็นบทความสุดท้ายที่ผมจะพิมพ์บนโต๊ะทำงานของผมที่บริษัทเกี่ยวกับเรื่องของการเป็นลูกจ้างของผมเองล่ะครับ

นั่งเลื่อนย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ 190 วัน ที่นับถอยหลังตั้งแต่กลางๆปีแล้วก็นะ เวลามันช่างผ่านไปไวเสียนี่กระไร เผลอแป๊บเดียว มาถึงสัปดาห์สุดท้ายกันแล้ว

สำหรับผม มันไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นกับตัวเองเท่าไหร่เลยครับ ยังงงอยู่ว่า ทำไมเราไม่ตื่นเต้นอะไรกันมั่ง แฟนผมกับลูกน้องของผมซะอีกที่ดูจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากกว่าผมอยู่หลายเท่าทีเดียว

อาจเป็นเพราะว่า สำหรับผมแล้ว การหยุดวันเสาร์อาทิตย์ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้หยุดพักผ่อนสักเท่าไหร่อยู่แล้วครับ แต่ก่อนนี้ เสาร์อาทิตย์ คือวันพักผ่อน ต้องมีไปเที่ยว ไปดูหนัง กินข้าวนอกบ้าน ฯลฯ

แต่หลังจากเปิดร้านผ้าม่านกับแฟนแล้ว วันหยุดผมก็เหมือนจะหายไปเลยทันที มันเลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากว่า ออกไปแล้ว ชีวิตจะเปลี่ยนอะไรมากมายเท่าไหร่

หลังจากออกไปแล้ว 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ ผมคงพักผ่อน ทำงานที่ร้านผ้าม่าน และทำการตลาดออนไลน์เป็นหลักครับ

รอสัปดาห์หน้า ผมก็ต้องไปเรียนคอร์ส การใช้ Photoshop สำหรับออกแบบและแต่งรูปภาพ เพื่อจะมาทำการตลาดครีมที่ผมกับแฟนร่วมกันทำอย่างจริงๆจังๆเสียที

จริงๆผมเองก็ติดเล่นอยู่มาก นั่งหน้าคอม ยังไงก็ต้องมีอ่านการ์ตูน ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆนั่นแหละครับ แต่เอาน่ะ ยังไงก็คงจะได้งานกันบ้างล่ะ ไม่มากก็น้อย

สติ๊กเกอร์ไลน์ผมก็ยังวาดอยู่ ยังมีอีกหลายไอเดียเลยทีเดียวที่ต้องวาดต่อให้จบ

...

เมื่อวานนี้ มีงานปาร์ตี้แผนก ก็เลี้ยงกันเนื่องในโอกาสวาระปีใหม่ และเลี้ยงส่งผม กับน้องอีกคนที่จะลาออกตอนสิ้นปีนี้ ซึ่งของผมเองใช้วันลาพักร้อน ก็เลยลาได้ยาวตั้งแต่สิ้นปีขึ้นมาอีก 2 อาทิตย์ จนสุดท้ายคือเหลือทำงานแค่วันศุกร์ที่ 11 นี้ก็จบแล้วครับ ชีวิตพนักงานกินเงินเดือนของผม

แต่เดี๋ยวกะว่า วันศุกร์นี้ จะเลี้ยงอีกทีนึง สำหรับเพื่อนที่ทำงานผมหลายๆคนที่เคยร่วมงานกันมา ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน และรุ่นน้องที่ผมสนิทสนมด้วยตลอด 10 ปี (บางคนอาจจะมีแค่ช่วงหลังๆ) คงจะได้จัดเมากันเต็มเหนี่ยวเป็นการสั่งลาเป็นแน่ หึๆๆ

...

หลังจากว่างๆและมีเวลานั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมก็มาลองวางแผนดูว่า หลังจากออกไปแล้ว ผมจะทำอะไรต่อไปยังไงดีได้บ้าง

1) คงต้องช่วยงานที่ร้านผ้าม่าน ฝึกตัวเองให้พอจะทำงานติดตั้งเองได้ รวมไปถึงคิดราคาผ้าม่านเองได้บ้าง จะได้ช่วยลดภาระของแฟนบ้าง

2) ฝึกสกิลด้านแต่งรูป photoshop , illustrator เพื่อจะได้เอามาแต่งเว็ปทำรูปสินค้าเพื่อโปรโมทครีมของตัวเองที่ทำกับแฟน

3) ใช้ความสามารถด้านการวาดรูป+Illustrator ที่กำลังจะได้เรียนมา เอามาวาดรูปทำพวก Stock Vector เพื่อเพิ่ม port สร้าง passive income อีกอย่างหนึ่ง

4) ใช้เวลาว่างวาด Sticker line อย่างน้อย ก็ต้องให้ได้ครบตามที่วางแผนเอาไว้นั่นแหละ (10 แบบได้)

5) ทำครีมดูสักปี ถ้ามันไม่ work ก็ต้องทำให้ work ก่อนจะคิดอ่านไปทำอย่างอื่นได้บ้าง

6) ถ้ามีตังค์เก็บมากพอ ก็อาจคิดเรื่องเรียนโท สนใจด้าน marketing , จิตวิทยา , Product Design , การเงิน และกฏหมาย ถ้ามีโอกาส ก็อยากเรียนแม่งทุกอย่างเลย

7) ถ้าได้เรียนถึง ป.เอก ก็อาจผันตัวไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย (อย่างน้อยก็ได้มองนักศึกษาบ้างล่ะนะ 555)

8) ถ้าเบื่อ ก็อาจกลับไปทำงานโรงงาน แต่คงเลือกที่ใกล้บ้านเป็นหลัก ทำได้ดีก็โอเค เบื่อก็ออก อะไรประมาณนั้น

9) ถ้ามี skill ด้าน illust มากพอ ก็อาจจะไปรับทำพวก ออกแบบสติ๊กเกอร์หรือโลโก้ หรือแม้แต่ออกแบบลายเสื้อยืดเอง อะไรก็ว่าไป

10) ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะกลับไปเรียนเขียนแบบ แล้วอาจจะรับจ้างเขียนแบบเครื่องกล พวก Drawing , Solid Edge , Autocad อะไรพวกนี้ คิดถึงเหมือนกัน

ดูสิ เขียนเล่นๆ นึกได้ตั้งหลายอย่าง เป็นสิบแน่ะ

ยังไม่รู้ว่าจะทำได้กี่ข้อหรือไปได้ไกลแค่ไหน แต่ก็นะ วางไว้ก่อนก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ เป็นแผนระยะยาวกันไป 5 ปี 10 ปี ไม่สาย ขอลองเดินทางในชีวิตนี้ให้สุดเรื่อยๆละกันนะ

Review : One Punch Man โล้นซ่า หมัดเดียวจอด (Spoil พอสมควร)

ช่วงนี้เห็นหนึ่งในการ์ตูนที่ผมชอบเรื่องหนึ่ง กำลังเป็นกระแส Viral อยู่พอสมควรในช่วงนี้ อาจเนื่องด้วยเพราะเพิ่งมี Anime ลงจอไปไม่นาน เลยทำให้เกิดกระแสตอบรับในทางบวกค่อนข้างมาก

ซึ่งผมเองก็เพิ่งได้ไปดูเรื่องนี้ในรูปแบบ Anime มาสดๆร้อนๆ

ต้องบอกเลยว่า เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมยกให้เป็นเรื่องที่น่าติดตาม (สำหรับผม) มากที่สุดในช่วงปีนี้เลยทีเดียวครับ

เนื่องจาก plot เรื่องหลักที่ดูไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และตัวละครที่มีสเน่ห์ กับมุขกวนประสาทแบบกำลังดี

แรกเริ่มเดิมที เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้แต่งในนามแฝงว่า ONE ซึ่งวาดคร่าวๆไว้ด้วยลายเส้นที่ออกจะไก่เขี่ยนิดๆ (จริงๆก็ไม่นิดเท่าไหร่หรอก) แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าติดตามโคตรๆ จึงไปถูกใจนักวาดการ์ตูนท่านหนึ่งคือ Yusuke Murata หรือก็คือผู้วาดการ์ตูนในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งของผมคือ Eyeshied 21 นั่นเองครับ

จุดเด่นของภาพอยู่ที่ลายเส้น องค์ประกอบด้านสรีระวิทยา และ Action ที่สวยงามสุดยอดครับ อ.แกบอกว่าได้แรงบันดาลใจในลายเส้นจากการ์ตูนฮีโร่ของฝรั่ง เลยทำให้เขาได้พัฒนาสกิลการวาดให้ตัวละครออกมามีมิติ สมจริง และสวยงามแบบนี้ครับ

ซึ่งอ่านมังงะก็ว่ามันส์แล้ว พอมาเป็นอนิเมะ ยิ่งมันส์เข้าไปใหญ่ครับ เนื่องด้วยลายเส้นและ Active Motion ที่สะใจและอลังการ์ในสเกลความเทพและพลังสุดโหดของตัวละครมากๆ

บวกกับมุขตลกที่ขำกระจายสไตล์แบบที่ อ.ถนัดครับ เพียงแต่จะแตกต่างกับ Eyeshield 21 อยู่พอสมควร โดยเรื่องนี้นั้นจะเน้นไปที่ความ "เกรียน" เป็นหลักครับ มุขตลกหน้าตาย ตลกผิดจังหวะ ไร้ซึ่งกาลเทศะจะมีมาให้เห็นกันตรึม (อย่างตอนที่แกเผลอเข้าไปอยู่ที่หลุมหลบภัยแล้วพบว่ามันไม่มีห้องน้ำนั่นก็...) กลับกับ Eyeshield ที่จะเน้นไปทาง ตลกหลุดโลก ตลกเล่นคำ ซึ่งเป็นสไตล์ของตระกูล Shonen ที่เน้นให้เข้าใจมุขกันง่ายๆครับ

แต่เรื่อง One Punch Man นั้นจะเหนือขึ้นไปอีกขั้นครับ คือจะมีการสอดแทรกมุขแบบ "ไม่ตั้งใจให้ฮา" เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นอีกจุดเด่นนึงของเรื่องนี้เลยทีเดียวครับ

กลับมาที่เนื้อเรื่องกันบ้าง

สำหรับ One Punch Man นั้น ตอนแรก เนื้อเรื่องเริ่มต้นขึ้นที่การปรากฏตัวของปิศาจตัวหนึ่ง (ซึ่งหน้าตาเหมือนพิโกโร่ใน DBZ มากๆ) ซึ่งพี่แกโผล่มาแกก็กวาดเมืองถล่มไปซะครึ่งค่อนเมืองทีเดียว

และขณะที่กำลังจะถล่มเมืองต่อ ก็ปราดสายตาไปเห็นเด็กน้อยยืนร้องไห้ตัวสั่นอยู่คนเดียว ตามสไตล์ของผู้ร้ายสายโหด ก็ต้องขย้ำเหยื่อน้อยๆเป็นธรรมดา

นั่นคือตอนเปิดตัวไซตามะครับ

หนุ่มหน้าตาธรรมดาแต่หัวโล้นเลี่ยน(?) โฉบเข้ามาช่วยเด็กน้อยไปได้ทันหวุดหวิด ก่อนจะหันมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

และขณะที่เจ้าปิศาจ (ที่ในเรื่องให้ชื่อว่า วัคซีนแมน) นั้นอธิบายที่มาที่ไปของตนเองว่าเป็นตัวอะไรและมาทำลายโลกนี้เพื่ออะไร ขณะที่กำลังจะอัดพระเอกให้ตายคามือ

พี่โล้นแกก็ตวัดหมัดเข้าไปเปรี้ยงเดียวจนปิศาจผู้น่าสงสารร่างสลายกระจายกลายเป็นเศษขี้ผึ้งเปื้อนฝุ่นไปอย่างง่ายดาย

พลางทิ้งท้ายไว้ด้วย Capture สั้นๆอย่างชีช้ำระกำจิตว่า

"หมัดเดียวอีกแล้วหรือนี่??"

ปัญหาของพระเอกของเราเรื่องนี้มีอยู่ข้อเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบครับ

คือการ "ต่อยหมัดเดียวตาย"

ไม่ว่าศัตรูจะร้ายกาจมาจากไหน จะโหดเถื่อนเพื่อพญายมอมชาวไซย่ามาจากจักรวาลไหนก็ตาม พี่โล้นไซตามะของเราถ้าเผลอ เป็นได้ต่อยแล้ว หมัดเดียวตายเรียบทุกครั้งไป

นั่นทำให้พี่ไซฯของเรานั้น ต่างฝันใฝ่เฝ้ารอให้มีศัตรูสักคนโผล่มาให้แกได้รู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานไปกับการต่อสู้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

แต่ในความเป็นจริง มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยแม้สักนิดครับ เพราะศัตรูทุกผู้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาเฉียดรั้วบ้านพี่แก เป็นเจอแกต้องตายเรียบโดยที่แกแทบไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ

เนื้อเรื่องวนอยู่ประมาณแนวๆนี้ไปเรื่อยๆครับ สลับกับการปรากฏตัวของตัวละครใหม่ๆที่ค่อยๆเพิ่มเข้ามาให้วนเวียนอยู่ในชีวิตของพี่โล้นของเราอย่างต่อเนื่อง

เริ่มต้นด้วยจีนอส หนุ่มไซบอร์กสุดเท่ห์ที่ต้องการจะปราบคนพาล อภิบาลคนดี พร้อมกับมองหาจอมวายร้ายที่ฆ่าครอบครัวของเขาไปด้วย เพื่อล้างแค้น

โซนิค ความเร็วเสียง วายร้ายนินจาที่หุ่นนี่บางทีก็นึกไปว่ามันเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ออกมาโชว์ซุปเปอร์สปีดเพื่อจะพบว่าความเร็วแค่ไหนก็ไม่ทำให้ไซตามะรู้สึกกับโซนิคได้มากกว่าตัวประกอบ (แถมยังจำชื่อผิดไปอีกตะหาก 555)

คิง ฮีโร่ระดับ S Class ที่มีเบื้องหน้าเป็นชายที่น่ากลัวที่สุดในโลก แต่เบื้องหลังกลับเป็นแค่หนุ่มโอตาคุที่ไม่ได้เก่งอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมยังชอบเล่นเกมส์จีบสาวอีกตะหาก แม้ไซตามะจะเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของคิง(โดยไม่ตั้งใจ) แต่ดูเหมือนพี่โล้นแกจะไม่สนใจอะไรในตัวคิงเลยนอกจากเกมส์ที่ยืมมาได้ (และชอบเผลอเซฟเกมส์ทับโดยไม่ตั้งใจอยู่เรื่อย)

ฟุบุกิ สาวสวยหุ่นสุดเอ็กซ์ ที่เป็นฮีโร่คลาส B เป็นน้องสาวของ ทัตซึมากิ สาวเอสเปอร์ที่เป็นอันดับ 2 ของฮีโร่คลาส S ด้วยความเชื่อผิดๆที่ต้องการจะรวมพวก Class B หลายคนขึ้นมาเพื่อสร้างกองทัพไว้ต่อกรกับฮีโร่ที่ระดับสูงกว่า แต่ก็ต้องโดนไซตามะโชว์เทพจนสุดท้าย ก็อดเป็นปลื้มและมาขอเอี่ยวเทียวไปเทียวมาบ้านพี่แกเป็นระยะๆไม่ได้

แบงค์ ตาลุงเฒ่าล่ำบึ้ก ฮีโร่คลาส S อันดับ 3 เจ้าของหมัดสายน้ำอะไรสักอย่างที่ดูจะเทพมากๆ แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รับรู้ถึงความเทพของไซตามะ และยอมรับให้พี่แกเป็นหนึ่งในผู้ที่เก่งกาจที่สุดในความคิดของลุงแก

นอกจากนั้น หลายๆครั้ง เนื้อเรื่องก็จูงไปยังความเทพของพระเอก โดยการสร้างสถานการณ์ต่างๆให้พี่โล้นแกได้โชว์เทพอยู่เรื่อยๆ อย่างเช่น อุกาบาต ถล่มโลก ที่พี่โล้นแกก็ยัง "หมัดเดียวอยู่" เหมือนเดิม

หรือตอน "เจ้าสมุทร" ที่กว่าไซตามะจะพ้นจากการหลงทางไปถึงบอสได้ ฮีโร่หลายคนก็โดนตบจนเดี้ยงไปเป็นแถบ รวมถึง "ปุริ ปุริ ไพรซันเนอร์" ตุ๊ดล่ำบึ้กฮีโร่คลาส S หรือแม้แต่ จีนอสที่มาถึงก่อน ก็พ่นกรดใส่จนหายไปเกือบหมดทั้งตัว และก่อนหน้านั้นอีกมายมายที่โดนตบจนคว่ำกันเป็นแถบ แต่พอพี่โล้นแกมาก็ตามระเบียบครับ ตู้มเดียวจอด แล้วจากไปโดยเพิ่มสหายมาอีกหนึ่งคือ "ไรเดอร์ไร้ใบขับขี่" ที่ยอมรับในตัวพี่แกว่าเป็นฮีโร่ตัวจริง ขณะที่คนอื่นกลับมองว่าไซตามะเป็นแค่คนที่คอย "ชุบมือเปิบ" เท่านั้น

และมาพีคสุดๆเอาตอนที่เอเลี่ยนถล่มโลกครับ

มีอยู่ช็อตนึงที่ไซตามะโดนตบเปรี้ยงจนกระเด็นไปถึงดวงจันทร์ และพี่โล้นแกก็ลุกขึ้นมาพร้อมๆกับกลั้นหายใจเหมือนดำน้ำ แล้วก็กระโดดตู้มเดียวกลับมายังโลก

แค่ดอกนี้ดอกเดียวก็เห็นแล้วครับว่า พี่แกโหดแค่ไหน ขอบเขตพลังแกบ้าบอมากครับ

ยิ่งไซตามะบอกว่า ต้นเหตุความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นอยู่ที่ "การวิดพื้น 100 ที ซิตอัพ 100 ที และวิ่ง 10 กิโลทุกวัน" ยิ่งทำให้ความตลกและมั่วนิ่มมันเพิ่มเข้าไปอีก (ถ้าทำแค่นั้นแล้วเป็นอย่างไซตามะได้ล่ะก็ ป่านนี้พวกนักมวยคงกลายเป็นไซตามะกันหมดแล้ว 555)

ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะไปต่อได้ไกลถึงไหน แต่ด้วยการปูเรื่องที่ไม่ซับซ้อน ปริมาณตัวละคร และความถี่ในการออกแต่ละตอนที่แบบว่า (รอเป็นเดือน อ่าน 3 นาทีจบ) นะ น่าจะทำให้การ์ตูนเรื่องนี้วาดไปได้ไกลเรื่อยๆและสนุกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตอนที่ไซตามะได้รับฉายาฮีโร่ว่า "One Punch Man" ซึ่งผมคิดว่านั่นคงเป็นจุดจบ (หรือไม่ก็ใกล้ๆจบ) ของเรื่องล่ะนะครับ

ปล. เพลงเปิด openning ใน anime มันส์สลัดเลยครับขอบอก

....................

นอกจาก One Punch Man แล้ว การ์ตูนเรื่องอื่นที่ผมตามอ่านอยู่อย่างสนุกสนานและพลาดไม่ได้เลยในตอนนี้ ก็มีครับ อย่างเช่น

One Piece อันนี้ไม่ต้องบอกอะไรมาก

Black Cover การ์ตูนนอกสายตาที่เพิ่งมีมาไม่กี่ตอน แต่เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก สอดแทรกกับมุขตลกแบบถูกจังหวะจะโคน ความมุ่งมั่นและบ้าระห่ำของพระเอก กับอาวุธและเวทย์มนต์ที่เหลือรับประทาน รวมถึงตัวละครที่มีสเน่ห์อีกหลายตัวกับลายเส้นที่สวยงามใช้ได้ทีเดียว ใครไม่เคยลองอ่าน ลองหาดูนะครับ

Re:Monster การ์ตูนจาก Light Novel ของญี่ปุ่น ประมาณว่า 18+ พอสมควร แต่ทำเป็นมังงะแล้วไม่ได้ Hardcore มาก พอจะอ่านได้อย่างไม่ต้องเครียด เข้มข้นที่เนื้อเรื่องและการผสมผสานทางแฟนตาซีที่จริงๆแล้วแนวๆนี้ก็มีมาเยอะ แต่ผมชอบเรื่องนี้มากที่สุดครับ

Haikyuu การ์ตูนวอลเล่ย์บอลที่เพิ่งจะเคยเห็นคนวาดมาแล้วสนุกได้ขนาดนี้ อารมณ์ประมาณ Slamdunk ก็ไม่ปราณ (แม้จะยกให้เรื่องนั้นขึ้นหิ้งไปแล้วก็ตามที) เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อนครับ เป็นธรรมดาของการ์ตูนกีฬา แต่การวางสตอรี่ไลน์ การให้อารมณ์ที่ถึงลูกถึงคน การจัดวางองค์ประกอบต่างๆของเรื่องนี้ ทำได้ดีมากๆ Peak แล้ว Peak อีก บางตอนนี่ถึงกับตบเข่าผางเลยทีเดียว พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ

Kingdom การ์ตูนสงครามของจีนที่สนุกและน่าติดตามมากๆอีกเรื่องครับ พระเอกเท่ห์และเถื่อนดี ตั้งใจจะดู anime เร็วๆนี้ครับ

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตลก comment ที่ด่า HR ครับ 555

มีโอกาสได้อ่านกระทู้ "เด็กจบใหม่จ๋า ฟัง HR หน่อย..."

ซึ่งเนื้อหาในนี้เป็นความคิดเห็นจากเจ้าของกระทู้ที่ทำงานเป็น HR ได้ประมาณ 5 ปี เจ้าตัวเองยอมรับว่าไม่ได้มีประสบการณ์มากมายเหมือนคนที่อาวุโสกว่า รวมถึงยอมรับว่าตัวเองก็เป็นเด็กรุ่นใหม่พอกันกับเด็กจบใหม่สมัยนี้

ในเนื้อหา จขกท.ได้พิมพ์ความคิดเห็นส่วนใหญ่ถึงเรื่องเมื่อตอนที่ตัวเองเพิ่งเรียนจบและหางานทำ ได้มาสัมภาษณ์งาน ตจว.หลายครั้ง ผิดหวังก็หลายหน จนต้องสัมภาษณ์ถึง 5 ครั้ง กว่าจะได้งาน

ผมอ่านดูก็รู้สึกได้ว่า เป็นกระทู้ที่ดีเยี่ยมกระทู้หนึ่งครับ

มีการแชร์และเสนอความคิดในมุมมองของ HR ซึ่งมีประโยชน์ต่อเด็กจบใหม่ที่ต้องการจะหางานทำแน่ๆ แม้จะไม่ได้ยกตัวอย่างเคสเว่อร์ๆหรือสุดกู่อะไรนัก

นอกจากนั้นยังมี HR ท่านอื่นมาช่วยเสริมและเพิ่มข้อคิดเห็นให้ ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์อีกมากมายทีเดียวสำหรับคนที่ตั้งใจจะหางานทำหรือฝึกตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน ซึ่งส่วนใหญ่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากแน่ๆครับ

แต่ประเด็นมันมีอยู่ว่า

ในกระทู้นี้ มีหลายความเห็นที่เป็นความเห็นของ "คนที่มาสมัครงาน" ฝากถึง HR อีกหลายความเห็นเลยทีเดียว

และหลายๆความเห็นในนั้น ได้รับการกดถูกใจให้เป็นคอมเมนต์ตัวอย่างค่อนข้างมาก

ซึ่งผมอ่านๆไปแล้วก็.... เอ่อม..... แบบว่า....

ยกตัวอย่างนะครับ

เคส 1

สตรีท่านหนึ่งได้เข้ามาโวย HR ว่า ไม่ค่อยจะชอบอ่าน Resume ให้ดีก่อนเรียกมาสัมภาษณ์ ทั้งๆที่ตนเองนั้นกำลังเรียนปริญญาตรีภาคพิเศษอยู่ (คือยังเรียนไม่จบว่างั้น) แต่ HR ก็เรียกมาสัมภาษณ์ และพอ HR ได้อ่านใบสมัครหรือ Resume ก็ประมาณว่า "อ้าววว ยังไม่จบป.ตรีหรือเนี่ย??" ทำให้เกิดอาการเหวอ โดยเฉพาะคนมาสมัครงาน ซึ่งก็ทำให้ต้องเสียโอกาสในการเดินทางมาหรือเตรียมตัวเพื่อสัมภาษณ์หลายครั้ง

ความคิดเห็นของผมคือ น้องคนนี้ไม่ได้ผิดอะไรครับ ผิดหลักๆก็น่าจะเป็น HR บางที่นั่นแหละ ที่ไม่ได้อ่าน Resume ให้ดีก่อน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยครับว่า HR ส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะรับใครหรือไม่รับใครมาทำงานในท้ายที่สุด ต้องมีการปรึกษาหารือกับหัวหน้าแผนกนั้นๆด้วยว่า จะรับคนที่มาสัมภาษณ์คนนี้คนนั้นหรือเปล่า ถ้าตำแหน่งที่มาสมัคร เป็นพนักงานระดับปฏิบัติงานที่มีการสัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็เป็นอีกเรื่องครับ HR อาจจะสัมภาษณ์เองได้เลย ก็ว่าไปเป็นเคสๆ

แต่เรื่องที่น้องผู้หญิงท่านนี้จะต่อว่า HR ว่าไม่ดูให้ดีก่อนเรียก ส่วนตัวผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นการผิดอะไรนัก เพราะถ้าน้องเรียนจบแล้วจริง HR จะเรียกมาสัมภาษณ์ก็ไม่แปลก การที่ HR เลือกใบสมัครมาจากเว็บไซต์ฝากงานหรือหางาน ส่วนใหญ่ เว็บพวกนี้มันจะมีให้กรอก "วุฒิการศึกษา" ไว้อยู่แล้ว HR ก็ search เอาจากในนี้แหละครับ เพราะฉะนั้น ถ้า HR ต้องการวุฒิปริญญาตรี แล้วเรียกน้องมาสัมภาษณ์ ก็มั่นใจได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR ก็เลือกจากประวัติที่น้องกรอกไว้ในเว็บนั่นล่ะครับ

แต่ถ้าไม่ได้เป็นการหางานผ่านเว็บ อย่างเช่น น้องเป็นคนส่งเมลล์ Resume เข้ามาหา HR เองสำหรับตำแหน่งที่น้องต้องการหรือที่ HR เขาติดประกาศไว้ ก็ต้องถามหน่อยล่ะครับ ว่าในตำแหน่งนั้นๆมันระบุชัดเจนหรือเปล่าว่า HR เขาต้องการพนักงานที่จบวุฒิอะไรมา?

ถ้าในนั้นเขาเขียนชัดเจน แล้วน้องยังส่ง Resume มาอีก วันสัมภาษณ์ HR ไล่กลับก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะน้องเองนั่นแหละ ที่เป็นคนทะลึ่งส่ง Resume เข้ามาในตำแหน่งงานที่น้องมี Qualify ไม่ถึงเอง

เพราะฉะนั้น ถ้ามั่นใจว่า เราเองลงข้อมูลทุกอย่างในเว็บไซต์หางานได้ถูกต้องกับความเป็นจริงของเราแล้ว หรือเรามั่นใจว่าวุฒิที่บริษัทเขาต้องการมันตรงกับเรา ก็ไม่มีปัญหาครับ

แต่ในเคสนี้ ผมอยากจะคิดไปว่า น้องยังเรียนไม่จบ แล้วจะของานของคนที่เรียนจบแล้ว HR ไม่โอเค เขาก็ไม่รับ ก็ถูกของเขาแล้วนี่ครับ ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าน้องจะเรียนจบมาจริงๆหรือเปล่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ

เคส 2

กรณี HR จะไม่รับเข้าทำงานหรือปฏิเสธ น้องๆหลายคนบ่นว่า ไม่ค่อยมี HR โทรแจ้ง

ผมแนะนำว่าอย่างนี้ครับ

ตอนสัมภาษณ์เสร็จ ก็ถามไปเลยครับ ว่า จะรู้ผลภายในประมาณกี่วันหรือกี่สัปดาห์
ถ้า HR โทรมาก่อนนั้น จะได้เข้าใจ หรือถ้าไม่มีการติดต่อมาเลย ก็จะได้เข้าใจเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรครับ HR ย่อมต้อง deal กับ candidate จำนวนมากอยู่แล้ว เอกสารอาจจะล่าช้าไปบ้าง บางทีก็เพราะต้นสังกัดแผนกนั้นๆเอาผลสัมภาษณ์ไปดองก็มี HR ก็ลืมตาม บลาๆๆ ร้อยแปด ฯลฯ ไม่ขอแก้ตัวแทน HR เพราะมันพลาดกันได้ แนะนำว่า ส่วนใหญ่ ไม่เกิน 2 อาทิตย์หรอกครับ ถ้าเกินนั้น ปล่อยทิ้งไปได้เลย หางานใหม่จะดีกว่าครับ

เคส 3

น้องคนนึงบ่นเรื่อง อยากให้เป็นการสัมภาษณ์แบบ 2-way Communication อันนี้ผมไม่เถียงครับ
ได้สื่อสารพูดคุยกันทั้งสองฝั่งมันดีกว่าถูกถามๆๆอยู่ฝั่งเดียวอยู่แล้ว

แต่ว่า อย่างที่บอก HR ไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องหน้างานทุกอย่างของแผนกที่น้องจะเข้าทำงานนะครับ อาจจะเป็นแค่การสอบถามให้ทุกอย่างมันผ่าน "ขั้นต่ำที่รับได้" ก่อน แล้วค่อยส่งคนที่สกรีนแล้วไปให้ต้นสังกัดก็ได้ ในกรณีที่ตำแหน่งนั้นๆมีคนมาสมัครเยอะ

คือ จริงๆ HR เขาก็ดูรวมๆน่ะครับ ไม่ได้จะบอกว่าคนนั้นคนนี้ผ่านไม่ผ่าน ควรได้ไปต่อหรือไม่อะไรยังไงหรอกครับ แต่เขาต้องการจะ สกรีน คนที่มันไม่ได้เรื่องออกไปก่อนจะส่งไปให้แผนกต้นสังกัดที่ต้องการคน เพื่อจะได้ลดกระบวนการสัมภาษณ์ ให้แผนกนั้นๆได้มีการพูดคุยกับผู้มาสัมภาษณ์ได้เต็มที่

ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่ HR แค่ต้องการจะสกรีนคนที่ "คุยไม่รู้เรื่อง" หรือ "งี่เง่า" ออกไปครับ

แน่นอน เรื่องพวกนี้ มันมีคำว่า "อคติ" มาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่มากก็น้อย HR ไม่ใช่พระอรหันต์ บางคนก็อาจจะตัดความรู้สึกด้านลบบางอย่างออกไปไม่หมดแล้วตัดสินพนักงานก่อนจะส่งไปให้ด่านต่อไปก็เป็นได้

ถามว่า HR ผิดมั้ย?

ก็ผิดครับ แต่ไม่เต็มร้อย

ต้องถามคนที่มาสมัครงานด้วย ว่า ทำตัวดีแล้วหรือยัง คุยรู้เรื่องแล้วหรือยัง

ผมสัมภาษณ์คนมาเยอะครับ ส่วนใหญ่ เจอพวกพูดจาไม่รู้เรื่องนี่ ผมคุยๆผ่านๆพอเป็นพิธีแล้วก็ให้กลับได้เลยครับ ใครที่คุยรู้เรื่อง ก็คุยกันนานหน่อย

แต่หากเจอพวกไร้มารยาท หยิบโทรศัพท์ หมุนเก้าอี้เล่น พูดจาก้าวร้าวหรือกวนประสาท ห้าวไม่เลือก มั่นใจเกินเหตุ เก๋า เกรียน โชว์เทพ หรือหน้ามึน อันนี้ก็เชิญกลับเช่นกันครับ คุยกันแค่ 5 นาทีก็รู้แล้วว่าจะได้คุยกันต่อหรือเปล่า

เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่อง 2 way communication นั้น ผมว่า มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ Candidate นั้น ผ่าน Qualification ของ HR ไปได้ก่อนแล้ว ถึงจะได้คุยครับ

ดังนั้น ยังไงเสีย HR ก็คือประตูด่านหน้าที่จะบอกว่า น้องๆควรได้ไปต่อหรือเปล่า ระดับหนึ่งครับ ประมาทไม่ได้ ต้องศึกษา หาทางปรับเปลี่ยนบุคลิกตัวเองให้กลายเป็นคนแบบที่ HR ต้องการก่อน แล้วค่อยไปยังแผนกต้นสังกัดต่อไปครับผม

เคส 4

อันนี้ฮาครับ มีตัวเก๋าคนนึงมาบอกว่า HR นั้นไม่ได้เทพขนาดที่จะคุยกะใครไม่นานแล้วจะรู้ว่าคนๆนั้นทำงานได้ดีหรือเปล่า ให้รับเข้ามาก่อน รับให้หมด แล้วให้ทดลองงาน 1 สัปดาห์ ใครไม่เวิร์ค ให้ออก

อ่านอันนี้แล้วผมทั้งขำทั้งสมเพชครับ

น้องคนนี้น่าจะมีความ Aggressive เฉพาะตัวค่อนข้างสูง ไม่รู้ว่าห้าวเฉพาะในคีย์บอร์ดหรือเปล่า แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าเป็น top comment ผมก็จะแสดงความคิดเห็นของผมไปบ้างละกันครับ

เรื่องดูคนออกหรือไม่ออกน่ะนะครับ ต่อให้มีเวลาทั้งวันหรือทั้งอาทิตย์ มันก็ดูกันไม่ออกหรอกครับ ว่าคนๆนึง ทำงานได้มั้ย และมากไปกว่านั้น ทำงานได้ดีมั้ย?

คนส่วนใหญ่ ทำงานได้หมดแหละครับ ถ้าไม่ใช่งานเฉพาะด้านหรืองานระดับบริหารสูงๆ

ต่อให้คุยกันนานกว่านั้น มันก็ไม่มีเรื่องคุยกันครับ เพราะมันแค่คนไม่กี่คนมาทำความรู้จักกันในห้องสี่เหลี่ยม (บางที่ก็ห้องไม่เหลี่ยม) ของจริงมันอยู่ที่การทดลองงาน 120 วันครับ

ซึ่ง ไอ้การที่จะให้คนที่มาสัมภาษณ์ทั้งหมด เข้ามาทำงาน แล้วทดลองงาน 1 สัปดาห์ เพื่อดูว่า ใครทำงานได้ ใครทำงานไม่ได้ คนที่ไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ

ตอบเลยครับ ว่าบริษัทไหนที่ทำแบบนั้นนี่ ปัญญาอ่อนมากครับ

เพราะต้นทุนในการ New Employ คงสูงลิบ การจะสร้างให้พนักงานใหม่สักคนนั้นทำงานได้ ต้องให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในเวลาที่มากพอครับ งานบางอย่าง ทำกันไม่กี่วัน ขณะที่งานบางอย่าง ต้องฝึกต้องสอนกันเป็นเดือน ยิ่งเรื่อง "มนุษยสัมพันธ์" "ทัศนคติ" "ความเป็นผู้นำ" "ทีมเวิร์ค" "การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ของพวกนี้มันไม่ได้จะฝึกกันง่ายๆ

ถ้ารับทุกคนเข้ามาหมด แล้วดูที่การทำงานอย่างเดียว เรื่องความสามารถเชิง Mental อย่างอื่น จะวัดจะดูกันยังไงครับ

หัวหน้างานก็ไม่ได้ว่างจะมาสอนงานเด็กใหม่หลายคนพร้อมๆกันอีกต่างหาก เขาก็ต้องมีงานของเขาเหมือนกัน นี่ไม่ใช่สโมสรหรือชมรมอะไรสักอย่างที่จะมานั่งสอนงานให้กับเด็กน้อยวัยใสได้เต็มที่หรอกครับ

ทุกบริษัทเปิดรับสมัครพนักงาน ก็คาดหวังคนที่ทำงานได้เร็ว เรียนรู้งานได้ไว และเข้ากับผู้อื่นได้ทันที ไม่ใช่ต้องการเด็กทารกสักฝูงเอามาดูแล จ่ายค่าแรงให้ ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ เสื้อผ้า บลาๆๆ มันมีอีกเยอะครับ ที่เราไม่ควรต้องเสียไปกับคนที่ "อาจจะไม่ได้ร่วมงานด้วย"

สู้เอา budget ตรงนั้นไปมอบให้กับ คนที่ "อาจจะได้ร่วมงานด้วย" ไม่ดีกว่าหรือครับ

แทนที่จะมาเสียเวลาประเมินผลงานของคนหลายคน
สู้เอาเวลาไปเลือกไปคัดสรรคนแค่คนเดียวที่เหมาะกับตรงนั้นที่สุดมา แล้วค่อยมาดูอีกทีว่าเขาจะผ่าน 120 วันทดลองงานไปได้หรือเปล่า จะดีกว่ามั้ย

ส่วนเรื่องที่ว่า ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเด็กสักคนทำงานได้หรือเปล่า?

ผมก็ต้องตอบว่า มันก็เหมือนไปซื้อของในตลาดสดนั่นแหละครับ

ผลไม้ ผัก เนื้อหมู ปลา กุ้ง ฯลฯ

จะซื้อทั้งที ต้องดูเป็นมั้ยครับ ว่าอันไหนสด อันไหนไม่สด ดูแค่ภายนอกมันบอกไม่ได้ก็จริงว่าของชิ้นนั้นมันอร่อยหรือเปล่า

แต่จะให้ซื้อมาทั้งหมด แล้วกินทีละอัน อันไหนดีเก็บไว้ อันไหนไม่ดี เอาไปคืน งั้นเหรอครับ

ตลกเป็นบ้าเลย

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เป็นพนักงานประจำ....ปลายทางของชีวิตมันอยู่ที่ไหน? ใครๆก็พูดว่า "สักวันจะทำอะไรเป็นของตัวเอง" แล้ววันนี้คือวันไหนกันล่ะ?

ผมคงไม่พูดว่า งานประจำเป็นสิ่งไม่ดีครับ

มันดีครับ ดีจริงๆและมีประโยชน์ต่อชีวิตเรามากๆ

แน่นอน อย่างแรกคือมันทำให้เรามีกินมีใช้อยู่ทุกวันจากเงินเดือนที่ต้องจัดการบริหารมันให้ดี เราก็จะมีข้าวกิน 3 มื้อ มีที่ซุกหัวนอน มีเงินช็อบปิ้ง กินอาหารนอกบ้าน พาแฟนไปเที่ยว หรือแม้แต่มีเงินเก็บหรือเลี้ยงดูครอบครัวอย่างเหมาะสม

แต่ทำไม หลายๆคนส่วนใหญ่ถึงได้บ่นทุกครั้งที่ "วันจันทร์" มาถึง

ผมเข้าใจครับ

งานประจำมันน่าเบื่อก็ตรง "หัวหน้า" เป็นหลักนี่แหละ

สังเกตุมั้ยครับ ถ้างานเรามันไม่แย่จนเกินไป เงินเดือนพออยู่ได้ และหัวหน้าเรานั้นดี เรามักจะมองเรื่องการย้ายงานเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ

แต่พอวันนึง มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เราก็พบว่า เราอยากลาออก ไปหาอะไรสักอย่างทำ อะไรที่เป็นของเราเองจริงๆ

อยากจะตื่นสาย ไม่ต้องแหกขี้ตาขึ้นมานั่งรอรถบัส
อยากจะไปเดินห้างวันธรรมดา
อยากจะไม่ต้องตอกบัตรเช็คเวลาทำงาน
อยากจะไม่ต้องนั่งทำโอทีหลังขดหลังแข็ง
และอยากจะทำอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย

ผมคงไม่บอกว่า นั่นคือข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจหรอกครับ เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ว่า...
หากเราจะเริ่มเป็นเจ้าของธุรกิจในวันหนึ่ง
แล้ววันนั้นคือเมื่อไหร่ล่ะครับ?

ผมถามรุ่นน้องหรือลูกน้องหลายคน ถามถึงเรื่องอนาคตในการทำงานว่าอยากจะขึ้นไปถึงตำแหน่งไหน หรือได้ทำอะไรบ้างที่ตัวเองสนใจในอนาคต

แน่นอน ร้อยละ 90 ตอบว่า

"วันนึงจะมีธุรกิจของตัวเอง"

ผมก็บอกว่า มันดีนะ แต่ไอ้วันนั้นที่ว่าน่ะ มันเมื่อไหร่กันล่ะ?

เพราะในเมื่อเรายังทำงานประจำอยู่ ตอนเช้าไม่ต้องพูดถึง ตื่นมารีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ตอนเย็นเลิกงานกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็ทุ่มสองทุ่มไปแล้ว วันไหนหนักหน่อยก็ทำโอที ถึงบ้านทีก็ข่าวจบแล้วนู่น

ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องขอพักผ่อนกันบ้าง ต้องทำงานบ้าน ต้องซักผ้า ต้องไปหาอะไรกินกับเพื่อน นัดแฟนดูหนัง ไปทำนู่นทำนี่ เผลอๆอีกทีก็กลายเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็นไปเสียแล้ว

แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเริ่มทำอะไรของตัวเองล่ะ

จะให้ไปศึกษาอะไรใหม่ๆ ก็ลำบาก เพราะไม่มีเวลาจะทุ่มเท
จะให้ไปขายของทั่วไปที่คนอื่นก็ขายกันอยู่เยอะแยะ ก็มองออกว่ายังไงก็รวยและหากินระยะยาวไม่ได้

สุดท้าย วันจันทร์ก็กลับมาอีกครั้ง

และลูปนี้ก็วนต่อๆไปจนครบเดือน ครบปี ถึงวันเกิด
บางคนเป่าเค้กโดยไม่คิดอะไร ดีใจที่ได้มาฉลองกับเพื่อน

แต่บางคน กลับนั่งคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา นี่ตูมีอะไรดีกว่าปีที่แล้วมั่งวะ นอกจากเงินเดือนขึ้น 6%

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นง่ายๆครับ

อะไรบางอย่างที่เราทำแล้ว เรารู้สึกว่า "ดีใจ" ที่ได้ทำมัน หรือ ดีใจ ที่ได้ "เก่งขึ้น"

อะไรบางอย่างนั้น หากเราทำไปสักพัก ทำไปนานๆเข้า มากกว่าคนอื่นส่วนใหญ่ เราก็จะกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนรอบตัวได้ไม่ยาก

ไม่เชื่อลองนั่งคิดดูสิครับ อะไรบ้างที่เราคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง คือพูดไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเรานั้น Advance ไปแล้วโคตรๆ

ไม่ใช่เรื่องอัพเดตชีวิตอย่าง ข่าว หรือ ละคร อะไรพวกนั้นนะครับ
รู้ไว้มันก็ดี แต่ถ้ามันทำให้เราสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์

เหมือนที่ อ.เฉลิมชัย ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าเก่งแล้วจน คือมึงไม่เก่ง" หรือ "มึงจะเก่งไปทำไม?"

ผมถามลูกน้องเหล่านั้นอีกครั้งว่า "แล้วธุรกิจที่ว่า อยากจะทำอะไรล่ะ"

บางคนอ้ำอึ้ง บางคนก็คิดสักพักแล้วก็ตอบได้ว่า อยากเปิดร้านเสื้อผ้ามั่งล่ะ อยากเปิดร้านอาหารมั่งล่ะ อยากซื้อเฟรนช์ไชส์มาทำมั่งล่ะ ฯลฯ

ผมบอกว่า มันก็ดีนะ แต่ไอ้วันนั้นน่ะ มันจะมาถึงเมื่อไหร่

ก็เงียบกันหมด บางคนตอบได้ว่า 5 ปีครับ 3 ปีค่ะ ฯลฯ

ผมก็ถามต่อว่า แล้วไอ้วันก่อนจะครบ 5 ปี 3 ปี นั่นน่ะ เราจะพร้อมสำหรับธุรกิจพวกนั้นแล้วใช่มั้ย?
รู้แล้วใช่มั้ยว่าลาออกไปแล้วจะอยู่รอดได้ หรือไม่อดตาย

...เงียบกริบ...

สิ่งที่ผมต้องการบอกน้องๆทุกคนก็คือ

มันไม่มีทางหรอก ที่วันนึงอยู่ดีๆตื่นมาแล้วจะมีร้านของตัวเองรอให้เราไปเปิด Grand Openning พร้อมลูกค้าที่มายืนรอคิวให้เรารับออเดอร์

มันต้องค่อยๆสร้างครับ จาก 0 ไปเป็น 1,2,3,4,.... จนถึง 100 หรือ 1000

ซึ่งไอ้สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ ยิ่งในตอนเริ่มต้น มันยิ่งยากกว่าเป็นหลายเท่า

ผมสรุปจบการสนทนากับน้องๆด้วยการแนะนำให้พวกเขาไปเริ่มหาอะไรเรียนรู้เพิ่มเติมเสียบ้าง มากกว่าอยู่เฉยๆหรือรอให้อะไรบางสิ่งมันเกิดขึ้น นั่นเรียกถูกหวย ไม่ใช่ประสบความสำเร็จในชีวิตครับ

แล้วเมื่อวันนึง วันที่เรามีความรู้ มีความมั่นใจมากพอ เราจะลองเริ่มนับ 1 จากตอนแรกที่มีแค่ 0

และใครจะรู้ล่ะ ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน

ถึง 10
ถึง 100
หรือถึง 1000

มีแค่ชีวิติของใครของมันครับ ที่จะหาคำตอบเหล่านี้ได้เท่านั้น

เอาใจช่วยทุกท่านให้ต่อสู้และไม่หยุดนิ่งครับผม

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อีก 76 วันของการเป็นลูกจ้าง - ความสัมพันธ์

ผมกับแฟนงอนกันไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นระยะๆ เป็นช่วงๆ

ช่วงไหนที่มีเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆเข้ามาทำให้เธอเข้าใจผมผิด หรือบางอย่างมันขัดใจเธอ ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการงอนครั้งใหม่ที่แน่นอนว่า คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเอาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาปนจนกลายเป็นเราเองที่อาจจะเป็นฆาตกรในสายตาเธอไปได้ในที่สุด

ความผิดส่วนใหญ่มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงมากนักหรอกครับ มันก็เรื่องเล็กๆน้อยๆกันนี่แหละ

ผมได้ฟังเรื่องราวมากมายจากน้องๆที่ทำงานหรือคนที่มีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับผมตามประสาพี่น้องเพื่อนฝูง

สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้มากที่สุด กลับไม่ใช่คู่ของเราไม่เป็นอย่างใจเราครับ

แต่มันคือ "การเปรียบเทียบ" ต่างหาก

เปรียบเทียบกับแฟนเพื่อน
เปรียบเทียบกับตัวเอกในละคร
เปรียบเทียบกับแฟนเก่าตัวเอง
หรือเปรียบเทียบกับใครก็ตามในชีวิต ไม่ว่าเขาจะมีตัวตนจริงๆหรือไม่ก็ตาม

และนั่นย่อมไม่ก่อให้เกิดผลดีตามมาเป็นแน่ครับ

ผมไม่รู้ว่าการถูกเปรียบเทียบกับใครจะแย่ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่เปรียบเทียบ นั่นน่าจะดีที่สุดครับ

ยอมรับว่าครั้งนึง เคยโดนเหมือนกันครับ มันเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บเสียอีกที่ได้รู้ว่า เรานั้นห่วยเหมือนคนๆนั้นที่แฟนยกตัวอย่างมา หรือเรานั้นแย่แค่ไหนเมื่อเทียบกับพระเอกที่เขาพูดให้ฟังแล้วเราเป็นแบบนั้นไม่ได้

จะว่าไป ตอนเริ่มคบกันใหม่ๆ เรื่องพวกนี้มันไม่มีประเด็นเท่าไหร่หรอกครับ

เพราะคนสองคนอยู่กันได้ สบายใจ และเป็นตัวของตัวเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะลองเริ่ม "คบกัน"

แต่เชื่อมั้ยครับ เวลาผ่านไป สิ่งที่มันมีมากขึ้นไม่ใช่แค่ "ความผูกพันธ์" แค่อย่างเดียว

แต่กลับเป็นการ "คาดหวัง" ที่มากขึ้นด้วย

คุณผู้หญิงก็จะคาดหวังว่าแฟนของตัวเองนั้นต้อง

"คิดเองได้"
"เข้าใจเธอมากที่สุด"
"ตามใจเธอมากๆเหมือนเดิมและเพิ่มขึ้นด้วย"
"มองเธอว่าเป็นคนเดียวที่สวยที่สุด"
"ทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี"

ไม่ว่าจะหวังไว้อย่างไร เชื่อมั้ยครับว่าส่วนใหญ่นั้น ผิดหวังไปตามๆกัน

เพราะ "ผู้ชายนั้น ไม่เคยเปลี่ยน" ครับ

เขาจะเป็นสิ่งที่เคยเป็นเมื่อตอนแรกรัก เพราะเข้าใจว่า ที่ผู้หญิงของเขาเลือกเขาให้เป็นแฟน ก็เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่คบกันแล้ว จะให้เขาเป็นอีกคนนึงที่ไม่ได้เป็น

ถ้าผู้ชายคนไหนคิดได้ว่า ที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้เขาเป็นอีกคน หมายถึง "คนที่ดีขึ้น" ไม่ใช่คนอื่น ผู้ชายคนนั้นก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เธอพึงพอใจมากขึ้น

แต่ถ้าชายคนไหนที่ไม่ได้คิดแบบนั้น และยืนกรานหนักแน่นว่า "ก็ตูเป็นของตูแบบนี้นี่หว่า ให้ทำไง"

สิ่งที่จะตามมาคือ การทะเลาะกันครับ แน่นอนว่าผู้หญิงนั้นต้องการให้ผู้ชายเป็น "ชายที่ดีขึ้น" ซึ่งสวนทางกับความคิดของผู้ชายส่วนใหญ่ ว่าเขานั้น "ดีอยู่แล้ว คุณถึงเอาเราเป็นแฟนยังไงล่ะ"

และถ้าปลายทางมันไม่เป็นอย่างที่คิด จะมีอย่างน้อยคนนึงที่ทุกข์ครับ

ทุกข์เพราะผิดหวัง ไม่ได้อย่างใจ
ทุกข์เพราะผิดหวัง ทำไมต้องมายุ่งกับฉันด้วย

ขณะที่ในมุมมองผู้ชายนั้น ตอนเริ่มคบกับผู้หญิง ก็เพราะรู้สึกว่า อยู่ด้วยกับเธอแล้วช่างสบายใจยิ่งนัก เป็นตัวของตัวเองได้มากกว่าสาวคนอื่น พวกเขาจึงขอเธอเป็นแฟน และเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยกันเพื่อค้นหาว่า เราจะไปกันได้ไกลแค่ไหน

ปัญหาคือ สำหรับผู้หญิงนั้น เมื่อได้รู้สึกดีกับใครด้วยแล้ว พวกเธอก็มักจะเปลี่ยนร่าง แปลงตัวเองให้กลายเป็น "นางเอก" ในฝันของพวกผู้ชายไปซะอย่างนั้น

เหมือนเป็นกับดักก็ไม่ปาน พวกผู้ชายหลงคิดไปว่า นี่คือตัวตนจริงๆของเธอ สาวน้อยที่ว่าง่าย เอาใจเรา ไม่งี่เง่า ไม่เรื่องมาก ไม่จู้จี้ ไม่ขี้บ่น ไม่ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ชวนทะเลาะ เธอช่าง Perfect เสียนี่กระไร

ดังนั้น จะปล่อยเธอไปก็กระไรอยู่

การขอเธอเป็นแฟนจึงได้นำพาพวกเขาทั้งสองให้ร่วมกันเดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกว่า "ชีวิตคู่" กลายๆ

ไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานนะครับ เอาแค่คบกันนี่แหละ

และเมื่อเวลาผ่านไป

ใครมันจะเป็นนางเอกแสนดีได้ตลอดเวลาล่ะ

สาวเจ้าก็ย่อมต้องกลับสู่ธรรมชาติเดิมของพวกเธอครับ ขี้บ่น ขี้เหวี่ยง ขี้วีน จู้จี้ จุกจิก ฯลฯ
(ไม่พูดต่อละกันนะ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกัน)

พวกผู้ชาย ก็เริ่มงงสิครับ อ้าว... ทำไมตอนแรกไม่เป็นแบบนี้วะเนี่ย จะได้รู้กันก่อนคบ

ซึ่ง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผู้หญิงเขาจะแสดงตัวตนของตัวเองจริงๆออกมา ก็ต่อหน้าคนที่เขาให้เป็น "คนรัก" เท่านั้น จึงมีแต่คุณผู้ชายผู้โชคดีเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินั้น พร้อมแรงเหวี่ยง 8G ที่พร้อมจะพังบ้านของเราให้มาคุได้ตลอดเวลา

และเรื่องที่ผู้หญิงเหวี่ยงมันคืออะไรกันล่ะ?

ถามได้ครับ ก็เรื่องที่ ผู้ชาย "ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือทำอะไรให้ชีวิตคู่มันดีขึ้นบ้างเลย" นั่นแหละ

พอเข้าใจมั้ยครับ?
ผู้หญิงคบกับผู้ชายสักคน ก็คาดหวังว่าเขาจะดี... ดีพอที่เธอจะฝากความหวังและความฝันทั้งชีวิตไว้ด้วยได้ ซึ่งหากมันไม่เป็นไปตามนั้นแม้สักข้อเดียวใน 100 ข้อ

เธอก็มีเหตุผลมากพอที่เหวี่ยงพวกเราได้เต็มที่ครับ

ซึ่งจริงๆปลายทางของเรื่องนี้มันมีแค่ "นี่เธอไม่คิดจะ.... มั่งเลยเหรอ?"

คิดหรือไม่คิดไม่รู้ รู้แค่อย่างเดียวว่า "แฟนกูสั่ง"

และนั่นทำให้ชายหลายคนไม่ชอบครับ พวกเขาจึงอยากออกจากบ้าน ไปหาเพื่อน เพราะเพื่อนไม่จู้จี้หรือบอกให้เขาเปลี่ยนอะไร ไปหาเด็กดริ๊งค์ เพราะพวกเธอต้องการแค่ค่าดริ๊งค์และก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะต้องมีเรื่องอื่นที่ดีกว่าเงินในกระเป๋าตังค์

แย่สุดคือ ไปหา กิ๊ก หรือเด็กใหม่สักคนครับ

เพราะผู้ชายจะได้รับ "ช่วงเวลา" อันสุดแสนจะมีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเองนั้นใหม่อีกรอบ

และปัญหาอีก 50 โขยง ก็จะตามมาอีกเป็นพรวนครับ



ดังนั้น หากใครจะมองว่า ความสัมพันธ์มันคืออะไร

มันคือเรื่องที่มีแค่ "คนสองคน" เท่านั้นครับ

เมื่อใดก็ตามที่คุณดึงเอาคนที่ 3 เข้ามา

จะมีคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยที่เจ็บปวด และรอยร้าวที่เกิดขึ้น จะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิมได้อีกเด็ดขาดครับ

ผมเลยต้องนิ่งเอาไว้ นิ่งให้มากที่สุดเพื่อจะไม่ยอมให้ตัวเองออกไปจากบ้านตอนที่ทะเลาะกับแฟน หรือไปหาความสุขที่อื่น

เต็มที่คือ ฟังที่แฟนบ่น ขอโทษเธอ และปล่อยให้เธอไปอาบน้ำนอน ส่วนเราก็นั่งทำงานต่อไปหน้าคอมตัวเองเรื่อยๆครับ

ดีที่สุด


แล้วของพวกคุณล่ะครับ

วิธีแก้ปัญหาเวลาทะเลาะกับแฟน

มันช่วยให้พวกคุณไม่ต้องสร้างปัญหาอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก ใช่มั้ยครับ? ^^

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

เหลืออีก 92 วันของการเป็นลูกจ้าง - สิ่งที่ผมอยากฝากน้องๆในที่ทำงาน

1. จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ

ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างก็เกิดขึ้นได้เสมอรอบตัวเรา และส่วนใหญ่ เราจะรับมือกับมันไม่ค่อยทันเสียด้วย เพราะฉะนั้น การ "เตรียมพร้อม" ในหลายๆด้าน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆกับการทำงานทุกวันให้ดีที่สุด

2. เมื่อเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ อะไรๆมักไม่ดีขึ้นกว่าเดิม

ร้อยละ 80-90 เมื่อมีการเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม โอกาสที่จะได้หัวหน้าที่ดีกว่าเก่านั้น ยากเหลือเกิน เคสเดียวที่ผมรู้สึกว่าจะได้หัวหน้าใหม่ที่ดีขึ้นก็คือ เมื่อหัวหน้าเก่ามันห่วยแตกเสียสิ้นดี และการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น นั่นแหละ จึงจะทำให้เราได้หัวหน้าใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ในกรณีอย่างเช่น หัวหน้าทำงานหมดวาระ ต้องไปประจำสาขาอื่น (เพราะทำงานดี) หรือมีการโยกย้ายแผนกกันของระดับบริหาร ตัวอย่างพวกนี้ มักได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ลูกน้องต้องเผชิญกับหัวหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่นัก

3. อย่าอยู่ใน Comfort Zone นานจนเกินไป

เมื่อเราทำงานได้ระดับหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เรายัง "อยู่ได้" นอกจาเรื่องหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของ "ความเคยชิน" ที่นับเวลาผ่านไปก็จะยิ่งทำให้หลายๆอย่าง "ฝังลึก" เข้าไปในโครโมโซม ทางความคิดและพฤติกรรมเรามากขึ้น

หัวหน้าบางคนไม่ได้สนใจข้อเสียของลูกน้องและไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมันเพราะยังทำงานได้ แต่ในระยะยาว นิสัยไม่ดียังไงซะ ก็จะกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้อย่างแน่นอน

4. อย่าทำแต่งาน

หลายๆคนพอได้เข้าทำงานที่มีความมั่นคง บริษัทดูจะไม่เจ๊งไปได้ง่ายๆ ก็ทำไปเรื่อยๆ สักแต่ว่าทำๆไป รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมา 3 ปี 5 ปี แล้ว ตัวเองยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหนเท่าไหร่ไกลเลย ขณะที่เพื่อนๆคนอื่นของเราต่างก็เริ่มมีความก้าวหน้าให้เห็นบ้างแล้ว แต่เรายังคงเหมือนเดิมตลอด

เป็นเพราะเราเริ่มมี "นิสัยพนักงานประจำ" ที่เกือบๆจะเหมือน "เช้าชามเย็นชาม" ยิ่งถ้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นด้วยแล้ว เขาไม่ได้สนใจว่าเราจะมีความสุขนอกที่ทำงานด้วยหรือเปล่า แค่เข้ามาที่บริษัท ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น และกลับบ้าน ที่เหลือ เรื่องของคุณ

นั่นคือประเด็นที่ทำให้เรามีข้ออ้างอย่างสม่ำเสมอที่จะ "ไม่ทำอะไรเลย" ในช่วงหลังเลิกงานจนถึงเวลานอน นอกจาก "พักผ่อนอย่างไร้สาระ"

ผมไม่ได้บอกว่าการพักผ่อนไม่ดี แต่ถ้ามันมีมากจนเกินไป มันก็ไม่ใช่ประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคตเช่นกัน

แล้วแค่ไหนถึงเรียกว่า "พักผ่อนเยอะเกินไป" ล่ะ?

ไม่ยากครับ

ดูแค่เวลาที่เรา "ไม่ได้ทำงานประจำ" นั้น เราเอามาทำอะไรที่มันจะ "ต่อยอด" ให้ตัวเราเองในอนาคตได้มากแค่ไหน เราทำอะไรที่ทำให้เรา "มีเงินมากขึ้น" หรืออย่างน้อย "มีความสามารถมากขึ้น" ในอนาคตอันใกล้ได้บ้าง

อย่าหลอกตัวเอง ว่าการดูหนังจะทำให้เราได้รู้เรื่องหนังมากขึ้น หรือการชอปปิ้ง จะช่วยให้เราเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ดียิ่งกว่าเดิม ถ้าการทำทุกอย่างที่ว่าไปนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรืออนาคตที่ "ดีกว่าเดิม" อย่างจับต้องได้

นั่นก็แปลว่า คุณพักผ่อน "มากเกินไป" ครับ

5. อย่าให้ชีวิตมีแต่ "ทีทำงาน" กับ "ที่บ้าน"

คล้ายข้อที่แล้ว คือ หากเราทำงาน เหนื่อย กลับไปบ้าน ก็เหนื่อย หรือบางที กลับจากออฟฟิศเข้าบ้านมา ก็ยังปลดระวางความเครียดหรือความรู้สึกไม่ดีจากที่ทำงานได้ เช่นเดียวกัน ครอบครัวมีปัญหา ทะเลาะกับแฟนมา แล้วมาทำงาน ก็คงจะออกมาดีหรอกนะ

การที่ชีวิตมีแค่ "สองด้าน" มันจะคานน้ำหนักด้านอารมณ์กันเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครแยกแยะได้จริงๆร้อยเปอร์เซนต์หรอกว่า เรื่องงานส่วนเรื่องงาน เรื่องที่บ้านส่วนเรื่องที่บ้าน มันปนเปกันเสมอ แค่ใครแยกแยะได้มากกว่าน้อยกว่าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผมเลยมักจะแนะนำไปว่า จงหา "อย่างที่ 3" เข้ามาสร้างสมดุลให้มีมากขึ้น เช่น งานเสริม กิจกรรมยามว่างที่มีประโยชน์ อาจเป็นการออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือ หลักๆคือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มากกว่าทั้ง ที่ทำงาน และที่บ้าน (แน่นอนว่าใครที่เป็นคนโสดอยู่คนเดียว เรื่องนี้ก็อาจจะเบากว่าคนมีครอบครัวแล้ว)

6. เริ่มออมแต่วันนี้

ไม่มีข้ออ้างใดๆ การออมทั้งที่ยังมีเงินน้อย ไม่ใช่การออมเพื่อรวย แต่เป็นการสร้างนิสัย ให้เราสามารถฝึกตัวเองไม่ให้ใช้ "เงินทั้งหมด" ได้

เงินเดือนออก เก็บก่อนเลย 10% 15% 20% ว่าไป แล้วแต่ใครจะสะดวก (แต่ต่ำๆสุดควรจะอยู่ที่ 10% นะครับ)

เด็กๆชอบอ้างว่า ยังไม่ทันได้ใช้เงินเลย หนี้ก็มาแล้ว หรือหมดตั้งแต่วันแรกที่เงินเดือนออกแล้ว

เชื่อผมครับ "ลอง-ทำ-ดู-ก่อน" แยกเงินเก็บออกมาเลย วางไว้อีกที่ แล้วใช้เท่าที่มีจากปกติ อาจจะเหลือ 90% ก็ใช้ไป มันอยู่ได้ครับ จริงๆ เชื่อผม ไม่มีใครตายเพราะเงินลดลงไม่กี่สิบ % หรอก แต่จะตายเพราะหนี้ที่ไม่ควรเกิดตะหาก

และจากการเก็บได้เดือนละ 10% ก็เพิ่มไปเรื่อยๆ ทีละนิดๆ อาจจะเพิ่มเดือนละ 0.5-1% ก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ลองมองดูครับ ปลายทางของเรา เราจะเก็บเงินได้เก่งแค่ไหน ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอเค ถึงจุดนึงมันอาจจะฝืนต่อไม่ไหว แต่อย่างน้อยเราก็รู้แล้วครับ ว่า limit เราอยู่ที่ตรงไหน

และนั่น คือการเริ่มต้นของนิสัยคนรวยครับ

7. พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง คล้ายๆกับข้อก่อนหน้า อย่าหยุดคิด อย่าหยุดศึกษา อย่าหยุดทำให้ตัวเองดีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้เรายังไม่ใช่คนที่ "ประสบความสำเร็จ" แต่วันข้างหน้าเหล่านั้นอาจไม่มาถึงเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ "เริ่มต้น" ทำบางอย่างเสียแต่วันนี้

ว่าแต่ว่า "บางอย่าง" ทีว่าน่ะ

สำหรับคุณ มันคืออะไร?

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่อยากบอกกับน้องๆนักศึกษา #2 - วินัย สำคัญกว่าสิ่งอื่นเสมอ

จริงๆไม่ได้บอกว่าอย่างอื่นไม่สำคัญ เพราะในการใช้ชีวิตและการประสบความสำเร็จ ความสามารถหลายๆอย่าง ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด แต่ทั้งนี้ เราต้องแยกมันให้ออก ระหว่างการ "ใช้ความสามารถ" กับการ "สร้างความสามารถ"

สมัยนี้ เด็กๆจบใหม่หลายๆคน มักจะตั้งคำถามและวางเป้าหมายว่า "ฉันจะต้องรวย ต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ หลังจากนี้อีกกี่ปี บลาๆๆ ฉันจะเป็นนายตัวเอง บลาๆๆ"

คือ มันไม่ผิดหรอกครับ ที่จะวางเป้าหมายและความฝันไว้อย่างนั้น เพื่อให้เราได้เห็นเส้นชัยในการใช้ชีวิต คนเรามันมีเวลาไม่มาก ถ้าไม่ใช้ให้คุ้ม ก็อาจจะเสียดายในวันหนึ่งของชีวิตได้

แต่เราต้องเข้าใจมันก่อนว่า ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย และมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบพลิกฝ่ามือชั่วข้ามคืน

สตีฟ จ็อบ ยังต้องใช้เวลามากมายกว่าจะสร้าง Mac เครื่องแรกออกมาได้
ไอน์สไตน์ ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขานั้นถูก
เอดิสัน ต้องล้มเหลวหลายร้อยครั้งว่าจะพบหนทางผลิตหลอดไฟ

แล้วเราเป็นใคร ถึงจะประสบความสำเร็จแบบนั้นในเวลาอันสั้นได้

บางคนนี่หนักเลยครับ อยากสำเร็จภายในปีเดียว จะมีเงินเป็นสิบๆล้าน

มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันต้องค่อยๆสร้าง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มันไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ

และความสามารถที่เรามีและนำมาใช้ได้นั้น บางที มันก็ต้องฝึกฝน เพิ่มพูน พัฒนา และแตกแขนงออกไปโดยมีข้อจำกัดด้านเวลามาคั่นกลางเสมอ

ต่อให้เราเป็นคนที่เก่งล้นฟ้า แต่เราจะประสบความสำเร็จไปไม่ได้เลยถ้าหากขาด "ความสม่ำเสมอ" ที่จะค่อยๆสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้ค่อยๆมีมากขึ้นๆ จนวันหนึ่ง มันกลายเป็นความสำเร็จที่คนอื่นมองมาที่เราและเรายอมรับกับตัวเองได้ว่า "เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว"

ดังนั้น หากเราไม่มี "วินัย" ที่จะทำมันอย่างต่อเนื่อง นับวัน นับเดือน นับปี ไปถึงหลายๆปี บางที มันอาจจะไม่สำเร็จ และกลายเป็น "ล้มเหลว" จนเราต้องเลือกที่จะ "ล้มเลิก"

แต่รู้มั้ยครับ หากเรา "ล้มเหลว" แต่ "ไม่ล้มเลิก" แล้วล่ะก็ วันหนึ่ง ความสำเร็จนั้นจะปรากฏตรงหน้าเราเอง ไม่ช้าก็เร็ว

เคยเห็นรูปภาพ ที่มีคนหลายคนขุดเพชรใต้ดินมั้ยครับ บางคนทิ้งจอบไปตั้งแต่ก้าวแรกๆ บางคนขุดไปจนเกือบจะถึงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ก็ดันล้มเลิก ส่วนบางคน กำลังเพิ่งจะเริ่มต้น ไม่ได้มองเห็นด้วยซ้ำว่าต้องไปอีกไกลแค่ไหน

จะน่าเศร้าแค่ไหนกันครับ หากเรานั้นเป็นคนที่อยูห่างจากเพชร (หรือความสำเร็จ) นั้นแค่ไม่กี่เซนติเมตร แต่เพราะระยะทางที่เราขุดมามันยาวนานเสียเหลือเกิน นานจนเราท้อใจที่ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางเลย และสุดท้าย กลับต้องทิ้งจอบแล้วเดินกลับทางเก่า

โอเคครับ ในภาพนี้มันบอกเราให้อย่ายอมแพ้

แต่ในชีวิตจริง ผมเชื่อว่า หากมีการขุดเพชรแบบนี้จริงๆ เพชรมันคงกระจายตัวอยู่ใกล้ๆ และหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเข้าไปใกล้มากขึ้น

เราน่าจะได้รับเพชรบางเม็ด ระหว่างทางที่ขุดเข้าไป และมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย และนั่น อาจจะมากพอให้เราขุดต่อไป เพราะเราเห็นแล้วว่า "เรามาถูกทาง"

เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ จริงๆ ก่อนจะถึงความสำเร็จ เราจะเห็นหรือได้รับ "รางวัลเล็กๆ" ก่อนเสมอ นั่นคือแรงส่งให้เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปลายทางได้

แต่กระนั้นก็ตาม หากเด็กจบใหม่วัยรุ่นสักคนจะเริ่มขุด ทั้งๆที่เห็นคนนับร้อยนับพันขุดกันไปแล้ว สำเร็จก็มี แต่ล้มเหลวนั้นเยอะกว่า ถามว่า เด็กเหล่านั้นจะเริ่มต้นจับจอบขุดดินเลยไหม

อันนี้ผมตอบยาก

แต่เท่าที่เห็น อะไรที่มัน "ทำตามๆกัน" หรือ "ใช้เวลานานเป็นปีๆ" เด็กส่วนใหญ่ (และผู้ใหญ่หลายๆคน) ก็เริ่มที่จะหาหนทางอื่นกันแล้ว ส่วนน้อย ที่เริ่มต้นและทำไปโดยไม่คิดว่าจะถอยกลับ

แต่กระนั้น หนทางอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ ธุรกิจอื่นๆ งานอื่นๆ ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ มันก็ต้องใช้ "ความมุมานะ" และ "พยายาม" อย่าง "ต่อเนื่อง"

ย้ำนะครับ ว่า "ต่อเนื่อง"

ไม่งั้น มันก็ไม่สำเร็จเช่นกัน

ทางอื่นอาจจะสั้นกว่า เพราะ "คนอื่นยังไม่ค่อยเห็น" หรือ "เราเก่งกว่าคนทั่วไป" มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราจะไปได้ถึงจุดหมายเร็วกว่าชาวบ้าน

แต่กระนั้น ยังไงซะ เราก็ต้อง "ทำ" อย่าง "ต่อเนื่อง" ไปเรื่อยๆจนจบ ไม่งั้น เพชร ก็จะไม่มีทางมาอยู่ในมือเราอยู่ดี

เพราะงั้น ผมถึงบอกว่า "วินัย" สำคัญกว่าอย่างอื่นมากๆไงครับ

ถ้าเราไม่เก่งเรื่องอะไร ก็ฝึกฝนมัน ทำมัน เรียนรู้มัน อย่าง "ต่อเนื่อง" แล้ววันนึง เราก็จะเก่งกว่าคนทั่วไป และเมื่อนั้น เราก็จะขุดดินได้ดีกว่าคนอืน เท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไรมาก

แต่จากตรงนี้ ถึงจุดสุดท้าย

"การเริ่มต้น" ก็เป็นสิ่งที่ยากพอๆกัน

เหมือน "จีบสาว" นั่นแหละครับ

ตอนเริ่มต้นน่ะ "ยากชิบเป๋ง"

แต่พอเริ่มไปแล้ว เราทุกคนต่างรู้ว่า หากมันเวิร์ค และความสัมพันธ์มันได้เริ่มต้น

"ความมีวินัย" ในการรักษาความรัก การดูแล เอาใจใส่ต่างหาก ที่จะทำให้ความรักนั้น "อยู่รอด"

หรือแม้แต่เรื่องเรียนก็ตาม
จะสอบให้ได้ มันเอาเวลา 20 ชม.ก่อนเข้าห้องสอบ มาอ่านหนังสือทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ มันไม่พอ มันคือการฝืนธรรมชาติ
หากจะสอบให้ได้ (และให้ได้ดี) เราต้องเข้าเรียน ทำการบ้าน ฝึกฝนทบทวน "อย่างสม่ำเสมอ" ผลสอบมันถึงจะออกมาดี

เห็นมั้ยครับ ไม่มีอะไรต่างกันเลย แทบจะในทุกๆเรื่อง

เพราะฉะนั้น ก่อนจะบอกตนเองว่า "เราเก่ง เรามีความสามารถ" อย่าลืมด้วยนะครับว่า

"ความมีวินัย" ของเรานั้น มีมากพอหรือเปล่า

เพราะชีวิตมันไม่ใช่การเล่นเกมหรือเดิมพันแบบครั้งเดียวจบ

แต่มันคือการสู้ แล้วล้ม แล้วสู้ แล้วล้ม แล้วสู้ต่อ

สู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งความสำเร็จนั้นมาถึง

และในเวลานั้น เราถึงจะได้รับสิ่งที่เราสมควรได้ ในท้ายที่สุดนั่นเอง

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่อนไหว หรือ อ่อนแอ

ช่วงเดือนหลังๆนี่ ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนสมัยประถม ซึ่งก็เป็นแค่กลุ่มในไลน์ที่มีกันประมาณ 100 คน

ในนั้นก็จะแตกเป็นห้องใหญ่ ห้องเล็ก อะไรอีกสารพัด

ผมเข้าไป ส่วนใหญ่ ก็อ่านผ่านๆ ไม่ได้สนใจจะดูหรือร่วมสนทนาอะไรนัก

เพราะว่าผมเองไม่ได้สนิทกับพวกเขาเท่าไหร่ ห่างหายกันไปจากตอนประถมก็ร่วม 20 ปี และหลังจากนั้นก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย การเงียบและอ่านอย่างเดียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น

แต่หลังจากมีการแบ่งกลุ่มย่อยกลุ่มเล็ก แล้วแตกออกมาเป็นกลุ่ม "ชลบุรี-ระยอง" ก็เหลือสมาชิกแค่ไม่กี่คน ซึ่งก็สามารถนัดมากินข้าวกันได้ไม่ยากนัก

พอได้มาเจอกัน นั่งคุยกัน มันก็ประหลาดๆดี เหมือนคนไม่ได้เจอกันนาน แต่มันมีความเป็นเพื่อนฝังอยู่ เลยไม่ต้องรู้สึกว่าต้องเกรงใจหรือประหม่าอะไรเท่าไหร่นัก ก็คุยกันเล่นกันได้ตามปกติ

มีเพื่อนคนนึงชื่อ ต. เป็นคนที่ดูท่าทางจะกวนๆหน่อย เสียงเข้มๆ และดูเหมือนจะมีความเป็นตัวเองสูง เพื่อนอีกคนชื่อ อ. เป็นคนตลกๆ เล่นมุขตลอดเวลา แต่ไม่หยาบคาย ดูเข้ากับคนได้ทุกคน

หลังจากนัดกินข้าวผ่านไป ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเขินน้อยลงจนสามารถพูดหรือแลกเปลี่ยนอะไรในห้องนี้ได้บ้างแทนที่จะเงียบอย่างเดียว

ล่าสุด อ.ได้เปิดประเด็นถามเพื่อนในกลุ่มว่า จะทำยังไงเกี่ยวกับน้องที่ทำงานที่ Performance งานมันไม่ได้เรื่อง แถมทัศนคติก็ห่วยดี

ผมเลยแนะนำให้คุยกับน้องเขาไปตรงๆ ว่าทำงานมา 4-5 ปีแล้วเนี่ย เข้าใจเรื่อง Mindset ขององค์กร หรือ Roadmap ระยะยาวบ้างหรือเปล่า

ซึ่งถ้าคุยแล้ว เขาไม่เข้าใจ หลายครั้งหลายรอบก็ยังมองอะไรผิดๆอยู่ ก็บอกเขาให้ไปหางานใหม่หรือโอกาสในชีวิตใหม่ๆเพื่อตัวเองดีกว่า ไม่ใช่มาเผาเวลาทิ้งไปวันๆกับงานหรือองค์กรที่มันไม่ใช่ตัวเองแบบนี้

จริงๆผมไม่ได้พูดไปแค่นั้นหรอกนะ แต่เยอะเลยทีเดียวล่ะ อย่างเช่นที่ว่า ทำไมต้องเอาเด็กแบบนั้นออกไป เพราะว่า ธรรมชาติของคนเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีขึ้นหรอก มันมีแต่แย่ลง ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ คนอื่นๆจะแย่ตาม เพราะเห็นว่า ทีไอ้หมอนั่นยังทำได้เลย แถมยังได้ผลดีกับตัวเองอีกตะหาก แถมบริษัทก็ไม่ทำอะไรด้วย หรือ อย่าปล่อยให้ปลาให้บ่อตัวเองเน่า เพราะมันจะเน่าต่อๆกันไป จนสุดท้าย เราเองที่จะต้องได้ผลงานจากฝีมือของลูกน้อง ก็จะพาลฉิบหายไปด้วย

และ บลาๆๆ อีกมากมาย

ปรากฏว่า เพื่อน ต. ที่อ่อนไหวผิดกับสีหน้าท่าทางที่ดูห้าวเกินตัว ก็ออกจากกลุ่มนี้ไป และไปกดออกจากกลุ่มอื่นๆอีกหลายกลุ่มแบบรัวๆ

ไอ้ผมก็แบบว่า "เฮ้ย นี่มึงเอาจริงดิ" คือตอนนั้นคิดประมาณว่างงมาก ที่ไอ้การที่เราเม้นต์ความเห็นส่วนตัวแบบชัดๆลงไป จะทำให้เพื่อนคนนึงหวั่นไหวและมีสภาพร่องแร่งจนน่าเป็นห่วง ได้ข่าวมาว่าหมอนั่นมีปัญหาเรื่องงาน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ ยิ่งพวกเราตอนนี้ก็อายุประมาณ 30 กว่าๆกันแล้ว มันพ้นวัยจะมาง้องแง้งเรื่องงานประจำแล้วป่าววะครับ

ถ้าไม่ชอบ ก็ออกไปหางานใหม่ที่ชอบสิ

ถ้าอยากทำอะไรแล้วเขาไม่รับ ก็ไปฝึกฝีมือจนเก่งและเขาอยากรับก่อน ค่อยมาเวิ่นเว้อโวยวาย

จริงๆมันก็มีอีกหลายคนที่บ่นเรื่องงานประจำนะ
แต่ส่วนตัวผมเอง ผมว่าผมหลุดพ้นจากตรงนั้นมาแล้วอ่ะ

ไม่ได้ว่าชอบหรือรักงานประจำอะไรมากมายนะครับ แต่ตอนนี้ผมเหมือนรอเวลาออกเสียมากกว่า (ถ้าใครตามอ่านเรื่องนับถอยหลังก็คงพอจะรู้อ่ะนะ)

จริงๆอยากบอกเพื่อนทุกคนว่า "ถ้ามึงไม่ชอบอะไรที่อยู่ในชีวิตตัวเองตอนนี้ ก็เปลี่ยนมันซะ ถ้ามันไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที ก็ค่อยๆเปลี่ยนซะ อาจจะช้า อาจจะนาน แต่ถ้าไม่เริ่มในวันนี้ วันข้างหน้ามันก็ไม่มาถึงหรอก"

แต่ก็ดันลืมคิดไปอีกว่า อาจจะมีเพื่อนบางคนที่มันอ่อนแอ เพราะอ่อนไหวอยู่ด้วย ไอ้เราก็เป็นพวกแจกยาขมเสียด้วยสิ 5555 ไอ้เรื่องจะไปง้อใครที่เราไม่ได้ผิดเนี่ย ไม่ไหวๆ ทำไม่ได้จริงๆ ไม่รู้จะเริ่มยังไง

เอาเป็นว่า สำหรับใครที่หนักใจกับงานประจำ หรือเจ็บปวดกับการค้นหาตัวเอง หรือพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่ๆควรอยู่ และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นก็เรียกร้องหาวันหยุดหรือเวลาที่จะได้ไปตามนัดกับเพื่อน

ผมว่า พวกคุณกำลังมา "ผิดทาง" นะครับ

การที่ไม่มีอย่างอื่นให้โฟกัสเลย นอกจาก "ความทุกข์" ชีวิตคุณจะไม่มีความสุขหรอก

แต่ถ้าคุณหาสิ่งที่คุณอยากทำ และ คุ้มที่จะทำ เจอ

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีครับ
ทำซะ
ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกวัน อีกเดือน อีกปี
และก็มานั่งเสียใจกับตัวเองว่า ปีนึงที่ผ่านมา ทำไมไม่มีอะไรในชีวิตกูที่มันดีขึ้นเลยวะ

คำตอบสั้นๆ

คุณไม่ลงมือเปลี่ยนมันเองนี่(หว่า)ครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ....

ตะกี้เพิ่งเข้ามาทำงาน

นั่งคิดวันเวลาที่เหลือสำหรับเป็นพนักงานที่นี่แล้ว เหลือ 116 วัน

ถ้าไม่นับเสาร์อาทิตย์ เหลือ 79 วัน

ถ้าตัดเอาวันลาพักร้อนที่จะสมทบตอนปลายปีให้หมด จะเหลือประมาณ 66 วัน

66 วัน

เป็น 66 วันที่ยาวนานชิบหาย

เหมือนติดคุกอะไรยังไงยังงั้นเลย

ให้ตายเหอะ

น่าเบื่อมากๆ

หัวหน้าใหม่กูนี่ แม่มมม เกินจะบรรยาย

ถ้ากวนตีนกว่านี้อีกหน่อยเดียวนี่ กูชิงลาออกไม่เอาโบนัสไปแล้ว ให้ตายเหอะ

เป็นมนุษย์ที่ตงฉินซะจนน่ารำคาญ
เออ... ถ้าให้พูดกันจริงๆ แม่งก็คงดีกว่า กังฉินอ่ะนะ
แต่มันไม่ไหวว่ะ ยิ่งเคยทำงานกะคุเมะมาก่อน มาเจออีนี่นี่แบบว่า โอยยยย... อยากกุมขมับวันละ 4 เวลา

ทำไมนะ เมื่อเช้าถึงตื่นแล้วไม่ลุก มันเป็นเพราะอะไร ทั้งๆที่เราก็ตื่นได้แท้ๆ นอนก็นอนไม่ดึก อะไรวะ
วินัยเราหายไปไหนหมดแล้ว ทำไมไม่มีความรับผิดชอบห่าอะไรเลยวะกู น่ารำคาญตัวเองชิบหาย
หรือเพราะเรามันหลุดจาก Mind Set พนักงานทำงานประจำไปแล้ว

ยิ่งเมื่อวานไปดู "ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ" มาด้วย

ยิ่งเกิดอาการแบบว่า เอ่อ... จะจริงจังกะการทำงานไปไหน

คือ มันไม่ใช่ความสนุกหรือความชอบของเราอีกแล้วอ่ะ แล้วจะทนทำไปทำไมวะ อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ

ยิ่งพระเอกในเรื่อง มันเป็นคนที่เหมือนเราในสมัยก่อน และเป็นคนที่ตรงข้ามกับเราสุดๆแบบสมัยนี้
มันเลยเข้าใจทั้ง 2 แง่มุมอ่ะนะ

ว่าไอ้การ "ทำงานจนตัวตาย" น่ะ มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเรา "หลง" ไปเชื่อจริงๆว่า ร่างกายเราจะเหมือนกับตอนสมัยเด็กๆ

ที่จะทำอะไร หนักแค่ไหน ก็ยังอยู่ได้ ยังไหวๆ ซึ่งจริงๆแล้ว แม่งไม่ใช่ไง

คนเรา พออายุมากขึ้น อะไรๆที่เคยทำๆไว้ตอนสมัยก่อน แม่งก็มาปรากฏออกหมดนั่นแหละ

เหมือนแต่ก่อน แดกเหล้าจัด แดกจนร้านปิด ถึงเช้า วนมาจนเย็นอีกรอบได้ ไม่นอนกันติดๆหลายวัน ยิ่งตอนสอบนี่ไม่ต้องพูด ชอบคิดไปว่า อ่านหนังสือโต้รุ่งแล้วจะดี ให้ตายสิ อยากกลับไปเรียนใหม่ชิบหาย ชีวิตจะได้บาลานซ์กว่านี้หน่อย แดกเหล้าเยอะไปแม่งก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นจริงๆ

พอมาตอนอายุได้เกือบๆ 30 คือ แดกเหล้าไม่ไหวแล้วไง กินถึงตีหนึ่งนี่ ไม่ต้องตื่นเลย 6-7 โมง ไม่มีทางไหว ร่างกายแม่งยอมแพ้สัดๆอ่ะ ต่อให้มึงฝืนสังขารตื่นมา ก็ไม่รอดหรอก ปวดหัว ตัวเหลืองตัวเขียวทั้งวันอ่ะ ต้องหาทางหลบนอนให้ได้ ไม่งั้นจบ

พอมาเจอ "ไอ้จูน" ที่แม่ง ตอนเรียนไม่เคยกินเหล้าเลย ก็เลยได้รู้อย่างชัดๆเลยว่า "ความสด" แม่งเป็นยังไง

ตามมากินตอน 3 ทุ่ม แดกเหล้าเพียงไป 6 ฝาติด นั่งกินยังร้านปิด ไปกินต่อที่ห้อง กินถึงตี 4 ตี 5 นอนชม.เดียว ไอ้ห่าจูนลุกไปทำงานได้เฉย

พวกกูนอนตายถึงบ่าย 2 แถมตื่นมายังสภาพอุบาทว์สุดๆอีก
ดีนะ ตอนนั้นไม่มีแฟน ไม่งั้นชีวิตไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก คงไปไหนตามนั่นก็เพื่อนไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอกนะ

ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแฟน ชีก็สามารถบอกได้อีกว่า "เป็นห่วง" ทีเดียวจบ จะให้ไปแดกเหล้าแล้วค้างกะเพื่อนนี่ หมดสิทธิ์ ยิ่งกูเป็นพ่อบ้านใจกล้าชิบหายอีก ไอ้เรื่องจะหนีเมียเที่ยวนี่ไม่มีล่ะครับผม ยอมคือยอม โดนทะเลาะแล้วเขาผิด ดีกว่าทะเลาะกันเพราะเราชั่ว มากมายนัก

เฮ้อ.... อยากถอนหายใจเป็นภาษาลาตินชิบหาย ทำไมชีวิตช่วงนี้มันอับเฉาอะไรขนาดนี้วะ
ให้ทำอะไรก็ไม่อยากทำเลยสักอย่าง
แค่จะหิ้วสังขารตัวเองมาทำงานนี่ก็เรื่องใหญ่งานช้างไปซะแล้ว
บทพอจะลา กูแม่ง ทำสันดานเสียตลอด

เค้าว่า "คนจริง" จะกล้าปฏิเสธและเผชิญหน้า กูคงไม่จริงเท่าไหร่ล่ะมั้งนะ ขี้ปอดเหลือเกิน

ส่วนเรื่องหนัง....

เอาง่ายๆ ใครหวังว่าจะได้ดูอะไรอย่าง "พี่มากฯ" "แอมฟาย" "ATM" "เพื่อนสนิท" "กวนมึนโฮ"
ขอแนะนำว่า

ไม่ต้องไปดูหรอกครับ

หนังแม่ง Real สัสๆ

หนังไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่
มันแค่ "จริง" ในรายละเอียด
ก็เท่านั้น
ไม่มีเว่อร์ ไม่มีอะไรแฟนตาซี นอกจากเรื่องหมอสวย
นั่นแหละ แฟนตาซีและอัศจรรย์สุดแล้วในเรื่องหนัง

ถ้าจะไปดูกับแฟน "อย่า" ครับ ไปหาเรื่องอื่นดูเหอะ Inside Out ก็ได้ น่าดูกว่านะผมว่า

ส่วนถ้าจะดูคนเดียว
ช่วงนี้ มี Hitman กับ MI5 (ถ้ายังไม่ออก) ไม่ก็ Pixel อันนี้พอดูได้ครับ

ที่เหลือ ก็แล้วแต่วิจารณญาณกันนะจ๊ะ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

อีก 120 วันของการเป็นลูกจ้าง

ไปๆมาๆ ผ่านไปจนเหลือแค่ 120 วันแล้ว นี่ยังไม่นับว่าผมจะลางานช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือน ธค.อีกนะเนี่ย

อะไรๆหลายๆอย่างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จหรือคืบหน้าไปเท่าไหร่เลย

ทั้งเรื่อง Stock Vector ที่ก็ยังไม่ได้เริ่มเท่าไหร่
ทั้งเรื่อง Affiliate ClickBank ที่ตอนนี้ก็พับโปรเจคเงียบยาวไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เริ่มอีกมั้ย
หรือแม้กระทั่งการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักอัน เพื่อช่วยโปรโมตร้านค้าออนไลน์ของเราเอง
นี่ยังไม่รวมเรื่องการเตรียมสร้างเพจและเว็บไซต์สำหรับครีม Avial แบรนด์ใหม่ของตัวเองกับแฟนอีก

การทำงานประจำไปด้วย เลิกงานกลับมาทำงานส่วนตัวไปด้วยนี่มันยากจริงๆ

ไม่ได้ยากที่งานเยอะนะ แต่ยากที่ พอเรากลับมาถึงบ้าน เราก็อยากพักอ่ะ นั่งหน้าคอมแล้วก็อยากดูนั่นดูนี่เต็มไปหมด ไอ้นั่นก็อยากรู้ ไอ้นี่ก็อยากอ่าน ไปๆมาๆ ผ่านไปหนึ่งวัน ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่เลย

ความเปลี่ยนแปลงในบริษัท ก็เห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่ก็เพิ่งมีคำสั่งว่า หัวหน้าเก่า ที่เป็น GM Production ก็กำลังจะกลับสิ้นเดือนนี้

หัวหน้าคนนี้เป็นคนที่ทำให้เราอยากลาออกจริงๆจังๆครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน

เนื่องด้วยเพราะรู้สึกว่า การทำงาน แนวคิด หลักการบริหาร เราเดินมาถึงจุด "สวนทาง" กันแล้ว

วิธีในการควบคุมจัดการของผม ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของหัวหน้าคนนี้ได้
และการทำตามคำสั่งแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมเองไม่คิดว่ามันจะแก้ปัญหาอะไรได้

ประกอบกับการอิ่มตัวในหน้าที่การงานและวิถีชีวิตหลายๆอย่าง
และแฟนก็เห็นด้วยที่ผมนั้นดูเหนื่อยหน่ายและเครียดเหลือเกิน

เราจึงตกลงกันว่า จะให้ผมลาออกมาก่อน แล้วค่อยหางานทำ

ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่า แฟนผมเขามีภาระอะไรหลายๆอย่างอยู่ด้วยเหมือนกัน
เพิ่งมารู้ทีหลัง ว่าเธอมีภาระทางครอบครัวมากมายเหลือเกิน ที่ไม่ได้บอกผม

แต่หลังจากผมแจ้งลาออก ทางผู้บริหารญี่ปุ่น ก็ได้คุยกันและสั่งย้ายผมมายังแผนก IE ที่ผมอยู่ตอนนี้

ตอนนั้นผมกะว่า จะอยู่ต่อถึงแค่สิ้นปี แล้วก็จะลาออก เพราะไม่ได้อยากทำต่อแล้ว ใจมันหมดแล้ว

แต่พออยู่ๆไป ไปๆมาๆ ผมกลับอยู่ต่อมาจนถึงเกือบ 3 ปีได้

เพราะหัวหน้าใหม่ของผมนั้นเรียกว่า "ถูกโฉลก" กับผมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่วุ่นวาย ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น

มองในแง่ดี มันก็คือสบายตัวสบายใจ
มองในแง่ร้าย ก็คือ มันสร้างให้เราอยู่ใน Comfort Zone แบบถอนตัวได้ยากเหลือเกิน

และหลังจากที่หัวหน้า IE ผมกลับญี่ปุ่นไป
หัวหน้าคนใหม่เข้ามา
เราก็ได้รู้ว่า Comfort Zone นั้น สูญหายไปแล้ว

หัวหน้าใหม่มา บ้าพลัง และลุยสร้างผลงานน่าดู
แต่เพราะเขายังไม่เคยบริหารแผนกนี้แม้แต่น้อย (สายงานเก่าเขาคือสายงานคนละด้านกับ IE เลย)
ก็เลยทำให้เราค่อนข้างทำงานลำบาก

และเขาก็แตกต่างกับหัวหน้าคนก่อนพอควร
ความช่วยเหลือที่มีให้เรานั้นน้อยลง และไม่สามารถ Support อะไรเราได้เท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับหัวหน้าคนก่อนหน้านี้

แต่ก็เอาเหอะ
ผมตัดสินใจแล้วว่า จะอยู่ถึงแค่สิ้นปี
ร้านผ้าม่านที่ทำกับแฟน ก็เดินทางมาได้จนเรียกว่า "อยู่ตัว" ระดับหนึ่ง

เราเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ใน 20% ที่สามารถพาธุรกิจตัวเราเองผ่านปีแรกมาได้

และถ้าเราสามารถพามันผ่าน 3 ปีไปได้ เราก็จะกลายเป็น 5% ส่วนน้อย ที่สามารถอยู่ในวงจรธุรกิจได้
ซึ่งนั่นก็คือ เราจะกลายเป็นธุรกิจที่มีความสามารถมากกว่าธุรกิจทั่วไปนั่นเอง

หลังจากนี้ ผมคงต้องขยันมากขึ้น
ต้องอดทนมากขึ้น
เพราะถ้าออกมาจากงานประจำแล้ว
จะทำตัวเหลวแหลก ไร้สาระไปเรื่อยๆไม่ได้
นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการเกาะเมียกิน
ผมต้องสร้างพอร์ต Stock Vector
และเพิ่มจำนวน Sticker ในไลน์ให้ได้

นั่นคืองานของผม
คือพันธกิจของผม
คือ Passion ของผม

ผมว่า ผมเลือกไม่ผิดอีกแล้วล่ะ

Facebook.com/pages/ระบายศรี

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดราม่า - นักศึกษา ข่มขู่ อาจารย์

ล่าสุดเพิ่งได้อ่าน ดราม่า นักศึกษาคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยของจังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย ม.
ได้มีการข่มขู่อาจารย์ในเฟซบุค ไม่ว่าจะเอาภาพโลงมาขู่ หรือรูปอาวุธต่างๆ รวมไปถึงขู่จะข่มขืนหรือลงแขก อะไรเทือกนั้น

จนในเว็บดราม่าของจ่า เอามาลงให้อ่าน จึงได้เริ่มรู้เรื่องกับเขาบ้าง

ต้นเรื่อง อยู่ที่อาจารย์ท่านนั้น ท่านไม่เห็นด้วย กับการรับน้องที่เรียกว่า โซตัส ซึ่งแต่ละสถานที่ก็คงแตกต่างกันไป ยิ่งคณะที่มีแต่ผู้ชายมากๆ ก็ยิ่งดิบเถื่อน บ้าบอ หนักข้อกว่าที่ที่มีผู้หญิงอยู่เยอะๆ

ซึ่งผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนวิศวะฯ และได้ผ่านการรับน้องแบบประหลาดๆและโหดๆตามประสาโซตัสในยุคปลายศตวรรษที่ 20 มา เช่นเดียวกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ หลายรุ่น

ส่วนตัวผมคิดว่า มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างออกไปจากเดิมเท่าไหร่หรอกนะครับ ไอ้เรื่องรับน้องหรือโซตัสเนี่ย

แต่เพราะ สมัยนี้ Social Network มันค่อนข้างแพร่หลาย

การเข้าถึงข้อมูล หรือการแชร์เรื่องราวเหล่านี้ มันเลยหลุดมาให้คนนอกได้เห็นค่อนข้างมาก

แน่นอน คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น คงไม่ได้รับรู้หรอกว่า จะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร

ส่วนคนที่อยู่ตรงนั้น ทั้งรุ่นพี่ ที่แบกอีโก้ ที่ต้องทำตามอย่างที่ตัวเองเคยโดนมา หรือรุ่นน้อง ที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ว่าจะหันหน้าไปพึ่งพาใครหรือให้ใครช่วยเหลือได้

จะโดด จะหนี ก็กลัวจะถูกครหา หาว่าไม่รักเพื่อน ไม่รักรุ่น

เอาจริงๆ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่นักกับหลายๆเรื่อง แม้ผมจะเป็นพี่ว้ากคนหนึ่งก็ตาม สาเหตุและปัจจัยมีหลายข้อครับ

1. คือ การกระทำที่รุนแรงเกินไป มันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีกับสภาพจิตใจและร่างกายเท่าไหร่นัก แน่นอน การฝึกให้มีความอดทนเป็นเรื่องดี แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า การให้น้องๆเดินนานๆ หรืออดน้ำ ทนร้อน อึดอัด ร้องเพลงอยู่ในห้องอบอ้าว จะเป็นเรื่องดีไปซะทีเดียว

2. รุ่นพี่ส่วนใหญ่ ชอบเอาเรื่อง "การทำงานในโลกความเป็นจริง" มาอ้างถึง เอาจริงๆ รุ่นพี่เหล่านั้นก็ไม่ได้รู้หรอกว่า ทำงานจริงๆน่ะเป็นยังไง แต่ก็ยังมาสอนรุ่นน้องที่มีอายุห่างกันแค่ปีเดียวได้ ถ้ามองจากมุมมองคนทำงานแล้ว ก็ต้องบอกว่า ไร้สาระ สิ้นดีเลยครับ เพราะเราต่างรู้ว่า จะเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมได้ "ความอดทน" เป็นแค่เรื่องๆหนึ่งที่ควรทำเท่านั้น ซึ่งมันยังมี "ไหวพริบ" "การเอาตัวรอด" "ความเป็นผู้นำ" "ทักษะการนำเสนอ" "การสื่อสาร" และอะไรอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องฝึกฝน

3. สมัย 10-20 ปีที่แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในกิจกรรม มันไม่มีใครรับรู้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันไม่มี FB จะทำอะไร ก็ทำกันไป ว้ากดังว้ากโหดแค่ไหน ก็จัดกันไป พอกิจกรรมจบ ผ่านไป ปี สองปี มันก็กลายเป็นเรื่องเล่าขาน รุ่นนั้นโหดนะ รุ่นนี้โหดกว่า... กลายเป็น Viral เหมือนเพิ่มความขลังให้มัน เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้รุ่นพี่โดยที่รุ่นน้องไม่รู้หรอกว่า อะไรจริงอะไรมั่ว ซึ่งพอมายุคนี้ มี FB คนเขาก็รู้กันหมด ว่าที่ไหน ทำอะไร ยังไง และที่สำคัญ "ทำไปแล้วได้อะไร"

คำถามพวกนี้ เอาจริงๆ ตอบได้ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะถูก เพราะแต่ละเรื่อง แต่ละกิจกรรม ย่อมมีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ยิ่งมีเรื่อง "ความรุนแรง" และ "สุขภาพ" มาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยิ่งหนักครับ

ผมเลยเห็นว่า สมัยนี้ รูปแบบการรับน้อง หรือ โซตัสก็ดี น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามยุคสมัย ไม่ใช่ถืออะไรมาก็ทำกันต่อไปแบบเดิมๆ 30 ปีที่แล้วทำยังไง เดี๋ยวนี้ก็ทำอย่างนั้น ใช่ครับ ทำได้ แต่ผมว่ามันไม่เหมาะแล้ว มันต้องเปลี่ยน

เวลาเปลี่ยน ยุคเปลี่ยน อะไรต้องเปลี่ยนตามครับ ไม่งั้นเราจะก้าวไม่ทันโลก

ผมไม่ได้บอกให้ยกเลิกโซตัส หรือการรับน้อง

แต่ผมอยากให้รูปแบบ มันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อะไรบ้าง ตามสมัย และสังคมที่เปลี่ยนไป

เรื่องว้าก จะมีก็ได้ครับ ไม่ได้ห้าม แต่ ก็ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ใช่ว้ากแม่งทั้งปีทั้งชาติ 24 ชม. อะไรอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ สตอรี่มันต่างออกไปแล้ว พี่ว้ากจะมาดราม่า เด็กๆมันไม่อินแล้วครับ

ลองเปลี่ยนเป็น สร้างโจทย์ ให้เขาไปทำกันดูก็ได้ครับ เช่น ให้ไปช่วยกันทำความสะอาดวัด โรงเรียน ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม โดยให้อยู่ในความดูแลของรุ่นพี่

สร้างโจทย์ให้น้องๆ ช่วยกันทำสิ่งใหม่ๆ และเอาผลงานเป็นตัวชี้วัด แทนที่จะมานั่งดูว่า รุ่นนี้ เชื่อฟังดีมั้ย ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งดีมั้ย มันไม่ใช่วัวควายเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ ที่จะต้องมานั่งทนโดยไม่รู้อะไรเลย ยิ่งมีคนหัวขบถ ออกมาต่อต้าน พี่ว้ากก็ยิ่งไม่ชอบ เพราะดูจะทำให้ตัวเองมีอำนาจน้อยลง บลาๆๆ

อย่าไปยึดติดรูปแบบเดิมๆครับ เปลี่ยนมันบ้าง อะไรที่มันเก่า ก็เอามาคิดใหม่ รีโนเวทใหม่ ไม่ได้ห้ามครับ แต่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

จริงๆ รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็น่าจะเข้ามามีส่วนร่วม สร้างแนวคิด ออกไอเดียใหม่ๆให้น้องๆได้เห็น ได้เข้าใจว่าโลกเรามันไปถึงไหนอะไรยังไงบ้างแล้วครับ น่าจะช่วยได้เยอะ

....


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เหนือสิ่งอื่นใดครับ คือ การ "ตอบโต้"

โดยเฉพาะ ใน Social Network
สถานที่ซึ่งคนทั่วไปชอบคิดว่าเป็นที่ "ส่วนบุคคล" จะทำอะไรจะพูดอะไรยังไงก็ได้

มันไม่ใช่ครับ

ถ้าคุณไปคุกคาม ข่มขู่ ละเมิด หรือหมิ่นประมาทผู้อื่น เขาเอาเรื่องได้ครับ

เพราะทำให้เขาเสียหาย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

เรื่องพวกนี้ ควรต้องมีการให้ความรู้เด็กๆทุกคนอย่างทั่วถึง

ผมสังเกตุเห็นว่า เด็กประถมสมัยนี้ ก็เล่น FB , IG กันแล้ว แต่ไม่ค่อยจะมีใครสอนเรื่องมารยาทพวกนี้ให้พวกเขาได้ทราบเท่าไหร่ เกรียนไทยมันเลยเยอะครับ ถ้าเอาเรื่องกันจริงๆ ตำรวจคงได้ค่าปรับกันอีกเยอะอ่ะครับผม

เพราะงั้น ไอ้การ "แสดงความคิดเห็น" จึงต้องมีขอบเขตครับ

อาจารย์ท่านนั้น ท่านก็มีมุมมองของท่าน ต่อกิจกรรมๆหนึ่ง ซึ่งท่านก็เคารพและไม่ได้สอดแทรกไปในเนื้อหาว่า ใครผิด ใครชั่ว ใครไม่ดี ก็แสดงความเห็นไปตามที่คิด

แต่อนิจจัง เหล่าเด็กน้อยปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม กลับเอาไปคุยฟุ้งข่มทับ จะเอาพวกมากมาลากอาจารย์ไปยำมาม่า เอาให้ถึงตายกันเลยทีเดียว

และสุดท้าย ก็ออกมาบอกว่า ล้อเล่น หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะ ความเป็นเด็ก

กฏหมายไทยบอกไว้ว่า เยาวชนคืออายุไม่เกิน 18 ปี
เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คงมีส่วนน้อยครับ ที่ไม่ถึง 18 ปี
เพราะงั้น ระวางโทษเท่ากับคนปกตินะครับ

เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี

เพราะถึงแม้อาจารย์คนดังกล่าว จะบอกว่าไม่เอาเรื่อง
แต่ถ้าถามว่า ถ้าอาจารย์คนนั้นเป็นน้องสาวผมล่ะก็

เด็กๆทั้งหลาย ได้ขึ้นโรงพักกับผมแน่นอนครับ

Facebook/page/ระบายศรี

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่อยากบอกกับน้องๆนักศึกษา #1 - การฝึกนิสัยออมเงิน

ผมนั่งคิดนอนคิดมาตลอดว่า
ถ้าผมมีโอกาส ได้ไปพูดหรือบรรยายให้น้องๆนิสิตนักศึกษาสักกลุ่มนึงฟัง
ผมอยากจะพูดเรื่องอะไรที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับพวกเค้าได้บ้าง

จริงๆมันมีเรื่องราวนับร้อยนับพันที่ผมคิดว่าผมน่าจะพูดและควรพูด

แต่ถ้าให้เรียบเรียงลำดับและเริ่มจากเรื่องแรกว่าควรเป็นเรื่องอะไรดี?

คำตอบของผมคือ "การออมเงิน" ครับ

แน่นอน กว่าครึ่งของนักศึกษาที่จบออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย ก็มักจะต้องเริ่มต้นชีวิต "ผู้ใหญ่" ด้วยการทำงานประจำ เป็นลูกจ้าง กินเงินเดือน

แม้หลังจากนั้น 5 ปี 10 ปี อาจจะแตกต่างกันไป แต่ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเลยในชีวิตของพวกเราทุกคนก็คือ

"เรื่องเงิน"

มันสำคัญเป็นอันดับต้นๆของชีวิต

ถ้าอยากจะดูว่าเรื่องไหนสำคัญ ก็ให้ดูว่า เวลาหมอดูเขาดูดวง เขามักจะดูดวงเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง นั่นแหละ เรื่องสำคัญในชีวิตคนเรา

การงาน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว และ การเงิน...

และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า หากย้อนเวลาได้ ผมอยากจะกลับไปแก้ไขมันมากเป็นอันดับต้นๆของชีวิตผมคือ

"การออมเงิน" ครับ

ผมเองก็เหมือนคนทั่วๆไป วัยรุ่นส่วนใหญ่ ที่คิดว่า เงินเดือนแค่นี้ ยังไม่ต้องรีบเก็บเงินหรอก เดี๋ยวพอมีเงินเยอะๆแล้วค่อยเก็บ

ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เลยครับ

สาเหตุก็เพราะ

1. คำว่า "เดี๋ยวรอให้มีเงินเยอะกว่านี้" นั้นมันคือ "เมื่อไหร่" ใครบอกได้บ้าง ยิ่งถ้าเงินเดือนเริ่มต้น 15000 แล้วบอกว่า ถ้ามีเงินเดือนสัก 1 แสน แล้วค่อยเก็บ ถามว่า แล้วมันคือเมื่อไหร่กันล่ะ เรารู้ล่วงหน้าได้มั้ย คนบางคน ทำงานมาเป็นสิบปี ยังมีเงินเดือนไม่ถึง 5 หมื่นเลยก็เยอะ แล้วเราล่ะ แน่ใจแค่ไหนว่า จะมีเงินเดือนหรือรายรับได้ขนาดนั้น ในเวลาที่กำหนด ซึ่งเราก็ไม่ค่อยจะวางแผนมันได้เสียด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ารอให้มีเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ เชื่อเถอะครับ ส่วนมาก เวลานั้น มักมาไม่ถึง

2. ความเสี่ยง การออม มีประโยชน์อย่างแรกเลยคือ มีเงินสำรองไว้ใช้เวลาจำเป็นครับ จะรู้ได้ไงว่า ชีวิตเราจะไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพานบ้างเลย ญาติๆเรา ครอบครัวเรา จะสุขสบายหายห่วงกันทุกคน เชื่อเถอะครับ อยู่ๆไป วันนึง ก็มักจะมีเหตุให้ต้องเสียเงินเสียทองเป็นธรรมดา ยิ่งใครที่มี รถยนต์ จะรู้ได้เลยว่า มันไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมัน มันมีค่าประกันภัย ค่า พรบ. ต่อทะเบียน ใบสั่ง ซ่อมนู่นนี่นั่น และจิปาถะอีกเยอะ ยิ่งถ้าใครแต่งรถด้วยแล้ว ไม่อยากจะพูดครับ

ส่วนใครที่ไม่มีรถ ก็อย่าเพิ่งนอนใจ เพราะเรื่องอุบัติเหตุ หรือสุขภาพ มันก็มีความเสี่ยงรอบๆตัวเราทั้งนั้น ถ้าใครตระหนักได้เร็วหน่อย ก็อาจเริ่มจากประกันภัยหรือประกันชีวิต ซึ่งแน่นอน มันก็มีค่าเบี้ยที่ต้องจ่าย ส่วนมากเป็นรายปี (ไอ้ที่บอกว่าจ่ายรายเดือนได้น่ะ มีครับ แต่ส่วนใหญ่ ก็เสียดอกเบี้ย และพอรวมๆกันแล้ว มากกว่าจ่ายรายปีแน่นอน สู้เก็บออมเองทีละเดือนๆ แล้วสิ้นปี จ่ายทีเดียว ง่ายกว่าครับผม)

3. ที่สำคัญที่สุด คือ "การฝึกนิสัย" ครับ เชื่อมั้ยครับ นิสัยต่างๆนั้น ฝึกได้ ถ้าเราทำมันซ้ำๆจนชิน เป็นกิจวัตร และยิ่งทำซ้ำๆ มันจะเกิดทักษะ ทำให้เราทำได้ดีขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ซึ่งการออมเงิน ก็เป็น "นิสัย" หนึ่ง คนที่ทำเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าจะทำได้ดีขึ้น แต่คนที่ไม่ทำเลย ก็แน่นอนครับ ปลายทางมันจะแตกต่างกันสุดๆ กับคนที่ทำ

4. ข้อสุดท้าย คือ "ปลายทาง" ครับ รู้มั้ยครับ ว่า ถ้าเราเริ่มออมตอนนี้ เร็วขึ้นกว่าเดิมปีนึง หลังจากเราออมได้ 20 หรือ 30 ปี มันจะกลายเป็นเงินเท่าไหร่

รู้จัก "ดอกเบี้ยทบต้น" มั้ยครับ สิ่งที่ไอน์สไตน์ บอกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างของโลก ใช่ครับ อำนาจของมันมหาศาล ถ้าเราคำนวณด้วยสูตร Excel เป็น เราแค่คำนวณให้เงินต้นเราเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 10% รู้มั้ยครับ ว่าผ่านไป 30 ปี เราจะมีเงินมากกว่าเดิมกี่เท่า

17 เท่าครับ จากเงินต้น 5000 บาท จะกลายเป็น 87000 บาท นี่ในกรณีที่เราไม่ได้ออมเพิ่มเลยนะครับ

และถ้าเราออมเพิ่มทุกปีๆละเท่าๆกันที่ 5000 บาท หลังจาก 30 ปี จะมีเงินรวมทั้งสิ้น 9.9 แสนบาทครับ คิดเป็น 6 เท่าของเงินฝากของเราทั้งหมด

แล้วถ้าเราออมเพิ่มจากปีละ 5000 เป็นเดือนละ 1000 เท่ากัน 12 เดือน กลายเป็น 1 ปี ออมได้ 12000 บาทล่ะครับ

หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 2.2 ล้านครับ

และถ้าเราเอาเงินจาก โบนัส เพิ่มไปอีก 1 หมื่นบาท ทุกๆสิ้นปี กลายเป็นออมได้ปีละ 22000 บาทล่ะก็
หลังจาก 30 ปี เราจะมีเงินทั้งสิ้น 4 ล้านบาท ครับ

ซึ่งถ้าเราเลือกออมในกองทุ้นที่มีผลตอบแทนคงที่หรือมีความเสี่ยงต่ำแล้วล่ะก็ ตัวเลขพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเท่าไหร่นัก มีเงิน 4 ล้าน ย่อมดีกว่าไม่มี ถูกมั้ยครับ และ 10% ที่ผมยกมา ก็เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น ซึ่ง จริงๆแล้ว มันจะไปอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" มากกว่า การออม

จริงๆการออมมันช่วยเรื่อง "ฉุกเฉิน" มากกว่าเรื่อง "ผลตอบแทน" ครับ

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ข้อ 3 ครับ การฝึก "นิสัย" ที่จำเป็น สำคัญมากๆ ที่เราต้องฝึกมัน

เด็กๆหลายๆคนมองว่า สิ่งที่เราควรฝึก คือเรื่อง "งาน" มันก็ไม่ผิด แต่ต้องอย่าลืมครับ คนส่วนมาก ไม่ได้คิดว่าอยากจะทำงานไปจนตาย วันหนึ่ง ก็อยากจะไปทำอย่างอื่น และไอ้อย่างอื่นนั้นน่ะ มันคืออะไรล่ะครับ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก ถ้ามันมี มันก็ดี แต่ไอ้สิ่งที่รักนั้นน่ะ สร้างรายได้ให้เราเพิ่มขึ้นได้บ้างหรือเปล่า

ถ้าไม่ เราจะทำมันต่อมั้ย

หรือจะฝึกมันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสร้างรายได้ให้เราได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเราพอใจ และวันหนึ่ง เราอาจมีรายได้จากงานประจำ และรายได้จากงานไม่ประจำ พอๆกัน เราอาจจะเก็บเงินได้มากขึ้น ศึกษาเรื่องเงินเก็บและการลงทุนได้มากขึ้น จนวางแผนระยะยาวให้ชีวิตเราได้ดีขึ้น

ถามหน่อยครับ ทำงานแล้ว อยากซื้อบ้านไหม อยากมีรถไหม อยากมีครอบครัว อยากแต่งงานไหม อยากมีลูกไหม ทุกสิ่งอย่างมันใช้เงินหมดครับ

แต่เราเองนั่นแหละ ที่คิดว่า เดี๋ยวพอจะเอา จะทำ มันก็จะมีเงินไหลมาเอง

ลองคิดดูให้ดีๆครับ มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า พอเราไม่มีเงิน ก็ต้องไปหายืมจากครอบครัว คนรู้จัก หนักๆหน่อยก็สถาบันการเงิน พวกบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต พวกนี้ ดอกเบี้ยหนักมากๆครับ

จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีเงินสักก้อน ที่สามารถรองรับ สำหรับแผนการณ์ในอนาคตได้ดีกว่าที่เป็น

ซึ่งนั่น คือวัตถุประสงค์ของเงินออมครับผม

ออมกันเสียแต่วันนี้ครับ

สร้าง "นิสัย" ที่ก่อให้เกิด "ตัวเงิน"

ตอนนี้ ไม่มีเงิน ก็มี "นิสัย" ที่ดีก่อน

ดีกว่า ไม่สร้างอะไรเลย และก็ไม่มีอะไรเลย ในท้ายที่สุดครับ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ควัน(ระเบิด)หลง... หลังเหตุการณ์ราชประสงค์ ตามจับคนร้ายให้ได้นะครับ

ข่าวล่าผ่านพ้นไป การวางระเบิดที่ราชประสงค์
ก่อให้เกิดผู้เสียชีวิต 20 ศพ
บาดเจ็บอีก เกือบร้อย

ตอนนี้หลายๆฝ่ายก็กำลังตามหาตัวผู้กระทำผิดอยู่

มีรางวัลนำจับให้ 1 ล้านจากรัฐบาล และ จาก นปช.อีก 2 ล้าน

ใครแจ้งเบาะแสได้ ก็เรียกได้ว่ารวยไปเลยทีเดียว

ยังมีผู้ต้องสงสัยอีก 2 คน ใส่เสื้อแดงกับขาว ที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง
ก็ตามหาตัวกันต่อไป

เมื่อวาน เล่นเอาผมหมดเรี่ยวหมดแรงทำงานกันไปเลยทีเดียว
หดหู่ทั้งวันอ่ะ กับเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ

จะว่าไป มันดันตรงกับวันเกิดเพื่อนสนิทผมคนนึงด้วยเลยพอดี 18 สค.

คงจะจำได้ไปอีกหลายปีล่ะนะ

เหมือนวันเกิดผมเหมือนกัน 11 มีค. เกิดซึนามิที่ญี่ปุ่น
จำได้ว่าปีนั้น ญี่ปุ่นน่าสงสารมาก

แต่ภัยธรมมชาติ กับภัยจากวินาศกรรม มันให้ความรู้สึกสูญเสียคนละอารมณ์กันเลยนะ

เวลาที่ฆาตกรเป็น "มนุษย์" กับ เป็น "ธรรมชาติ" เนี่ย ความรู้สึกของคนที่อยู๋ข้างหลังนี่ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้ เราคงไม่สามารถพูดได้ว่า จะหาอะไรมาทดแทนกับความสูญเสียที่เราได้รับได้บ้าง

คงไม่มี

ยิ่งถ้าผู้ที่จากไป เป็นคนอันเป็นที่รัก เป็นคนดี เป็นอนาคตของครอบครัว ของสังคม ของชาติ
คงยิ่งรู้สึกสูญเสียเป็นร้อยเท่าพันทวี

ขอให้จับคนร้ายได้โดยเร็วนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จิตสำนึกความปลอดภัยในองค์กร กับ ความสามารถด้านบริหารจัดการของตำรวจจราจร


หัวเรื่องเหมือนจะเกี่ยวกันนะ แต่รายละเอียดผมว่าค่อนข้างจะห่างกันพอดู

เรื่องแรก จิตสำนึกในองค์กรผม จากผู้บริหารแผนกความปลอดภัย ที่มีแนวคิดเรื่องการลดความเสี่ยงและอันตรายในการทำงาน โดยการให้เจ้าหน้าที่หลายๆคน ไปยืนดักที่ทางเข้าออกของพนักงาน แล้วตรวจสอบพนักงานที่ไม่สวมหมวกกันน็อคตอนขับขี่จักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์

ผมว่า แรกๆมันก็ดีอ่ะนะ

แต่ทำมาได้สักพัก มานั่งคิด "ประโยชน์มันคืออะไรอ่ะ?" แล้ว "ทำไปเพื่ออะไร?"

คำถามเหล่านี้ผมไม่เคยได้คำตอบ

ยิ่งก่อนหน้านี้ (จนถึงตอนนี้ก็ยังทำอยู่) มีกิจกรรมที่ให้ผู้บริหารทั้งคนไทยและญี่ปุ่น ไปยืนใส่สายสะพายเหมือนนางงาม เขียนว่า "Safety First" แล้วก็กล่าวทักทายพนักงานที่เดินเข้ามาในบริษัท เพื่อเพิ่ม "จิตสำนึกด้านความปลอดภัย" ให้กับพนักงาน

แรกๆผมก็ว่าโอเคนะ เป็นสีสันดี

แต่พอทำไปสักพัก

เฮ้ย มันมีประโยชน์มั้ยเนี่ย ทำแล้ว อุบัติเหตุลดลงเหรอ? หรือยังไง? ผลดีมันคืออะไร ทำแล้วได้อะไร ใครประเมินผลลัพธ์หรือผลตอบแทนมันได้บ้างเนี่ย?

ผมมีคำถามอีกเยอะแยะมากมายที่อยากให้มีใครสักคนมาตอบผมบ้าง

แต่ก็แน่นอนล่ะ

ไม่มีใครตอบได้

ดูเหมือนว่า การทำอะไรหลายๆอย่างที่บริษัทผมนี้ จะทำไปเพียงเพื่อให้ "คนเห็นว่าทำ" ส่วนผลลัพธ์ จะประเมินมันได้หรือไม่ ถ้าเป็นเรื่อง Safety นั้น ไม่จำเป็น

เอาสิ
เอากะเขา

ส่วนเรื่องการจราจร
ที่อยากบ่นนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ

เมื่อเช้า ขับรถมาทำงาน
ออกเวลาเดิม รู้ว่าไม่สายแน่ๆ

แต่ก็เจอรถติดแบบมหาประลัย
ไฟแดงแต่ละแยกนี่ นานมากๆ

เลยรู้เลยว่า การบริการจราจรของตำรวจไทยนั้น ไม่เหมือนต่างประเทศ

ที่จะมีศูนย์ควบคุมจัดการการจราจรบนท้องถนนในแต่ละเขตอย่างชัดเจน มีกล้องวงจรปิด และกล้องจากดาวเทียม ที่จะบอกว่า อัตรารถในแต่ละช่องทางและทิศทางนั้นมีมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร ช่องไหนควรเพิ่มเวลาให้กี่วินาที ช่องไหนควรลด

ซึ่งที่ไทยนั้นไม่มีครับ

หลายๆทางแยก ผมเห็นไฟแดงที่ปล่อยให้รถน้อยๆวิ่งกัน แต่รถเยอะๆหยุดรอหลายนาทีมากๆ

ผมติดไฟแดงที่ไม่น่าติด 2 จุด จุดละเกือบ 10 นาที
โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมตู้ป้อมตำรวจตรงสี่แยกถึงปล่อยเวลาอย่างไม่เป็นมาตราฐานแบบนี้ได้

รถติดแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ปลายทางของรถติด อยู่ตรงไหน ไม่มีใครเห็น

ผมเลยเริ่มรู้สึกได้เรื่อยๆแหละว่า เวลาที่เราเห็นรถติดแล้วมีตำรวจมาโบกให้ตรงสี่แยกน่ะ จริงๆตำรวจไม่ได้มาช่วยนะ แต่ผมว่า มาทำให้รถติดหรือเปล่า อันนี้น่าสงสัยจริงๆครับ

เพราะตำรวจที่โบกรถตรงสี่แยกนั้น ก็ไม่สามารถเห็นได้ว่า ปลายหางของขบวนรถในแต่ละช่องทางนั้นอยู่ไกลออกไปแค่ไหนแล้ว เห็นว่ารถมี ก็โบกให้ไปต่อ ส่วนทางที่รอ ก็รอต่อไป ทำไม ในต่างประเทศ ผมเห็นตำรวจ จะออกมาโบกรถก็ต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทำให้การสัญจรติดขัดเท่านั้น

แต่เมืองไทย พอรถเยอะเข้าหน่อย ตำรวจต้องออกมาโบกรถเองละ อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆครับ

ในเมื่อรถไม่มีชนกัน ถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ก็น่าจะไม่ทำให้รถติดมาก หรือถ้าจะติดจริงๆ ก็ต้องติดพอๆกัน เท่าๆกันหรือเปล่า

อันนี้ไม่มีความรู้ครับ สังเกตุเอาล้วนๆ

รู้แค่อย่างเดียว

ประเทศไทย คำนวนเวลาในการขับรถจริงๆจังๆไม่ได้หรอกครับ

เพราะไฟแดงมันใช้คนกด ไม่ได้ใช้โปรแกรมนี่นา เนอะ...

Bike for Mom... ปั่นเพื่อแม่....

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 17 สค.

เมื่อวานนี้มีกิจกรรม Bike for Mum

มหกรรมปั่นจักรยานเพื่อสนองคุณแม่

ถนนเส้นหลักของจังหวัดชลบุรีอย่างสุขุมวิทและเชื่อว่าถนนเส้นหลักของอีกหลายๆจังหวัด ก็น่าจะเจอปัญหาเดียวกัน

คือ "รถติดมหาบรรลัย"

จะให้ผมพูดว่าไงดี

ในมุมหนึ่ง การปั่นจักรยาน นั้น มีประโยชน์แน่ๆครับ ได้ออกกำลังกาย
และยิ่งเอาไปผูกกับเรื่อง "ความกตัญญูรู้คุณแม่" กับ "ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์" นั้น ยิ่งทำให้เกิดกระแสเชิงบวก ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมากมาเข้าร่วมกิจกรรม ก่อให้เกิดกระแสการปั่นจักรยานเป็นหมู่คณะที่สร้างสถิติใหม่ให้กับกินเนสบุ๊คเวิร์ลด์เร็คคอร์ด

ส่วนข้อเสียนั้น.... หุๆๆ

เกินจะบรรยายครับ

อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือ

"รถติด" การคมนาคมที่เป็นอัมพาตแทบจะตลอดทั้งวัน ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อภาคเอกชนที่จำเป็นต้องมีการขนส่ง การคมนาคมและการเคลื่อนไหวทางถนนนั้นแทบจะหนักหน่วงตลอดทั้งวัน

จริงๆผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องรถติด

แต่ที่ผมไม่ค่อยจะชอบเลยคือ

ภาครัฐ น่าจะจัดการเตรียมความพร้อมและประเมินผลได้ผลเสียต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาพรวมได้มากกว่านี้

ผมไม่รู้ว่าจังหวัดอื่นเป็นอย่างไร
แต่เท่าที่เห็น ชลบุรีนั้นก็เป็นอีกจังหวัดที่มีการปั่นจักรยานกันเยอะมากๆ และรถก็ติดมากๆด้วยเช่นกัน

ถ้าใครขนส่งสินค้าไม่ทันก็คงจะเอาไปอ้างกับลูกค้าได้ไม่ยากว่า รถติดเพราะอะไร

แต่ที่ผมเป็นกังวลก็คือ "อุบัติเหตุ" กับ "เรื่องฉุกเฉิน"

จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีรายงานเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดจากการปั่นจักรยานบนถนนของผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า มันไม่มีจริงๆจน "อุบัติเหตุเป็น 0" หรือไม่มีใครมานำเสนอแง่มุมนั้นเลยกันแน่

สื่อไม่น่าชอบอะไรพวกนี้ เพราะทำมาก็คงมีแต่คนด่า

แต่ผมว่า น่าจะมีสักที่ที่กล้าตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้เห็นถึงอีกด้านของเหรียญอย่างชัดเจนจริงๆ

ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่รถติดกระจุยกระจายขนาดนี้
ถ้ามีพ่อใครแม่ใคร เกิดหัวใจวาย และต้องการให้รถขับไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนล่ะก็ มันจะมีปัญหาหรือเปล่า การขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น แค่ไม่กี่วินาทีก็ส่งผลต่อชีวิตได้อย่างมากมายมหาศาล อันนี้ผมไม่รู้ว่า มีกี่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์รถติดมหาวินาศในวันนี้บ้าง

ส่วนเรื่องที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดกับเรื่องนี้ก็คือ

หน่วยงานรัฐ(หรือเอกชน) บางแห่ง ใช้โอกาสนี้ในการกำจัด "สุนัขและแมวจรจัด" ที่หากินอยู่ตามข้างถนน จับไปประเวศน์บ้าง จับไปทิ้งที่อื่นบ้าง

อันนี้ผมไม่รู้จริงๆว่า จะทำไปทำไม โอเคล่ะ ถ้าไม่ตอแหลมาก ก็เข้าใจได้ว่า คงต้องการสร้าง "ทัศนียภาพที่ดี" ให้เกิดกับผู้คนที่มาเข้าร่วมกิจกรรม

แต่ถ้ามองในมุมผม การจับหมาแมวจรจัดไปปล่อยที่ประเวศ ก็เหมือนจับมันไปทรมานอ่ะ

เคยเห็นภาพของหมาที่นั่นกันมั้ยครับ?

สุดยอดแห่งความน่าหดหู่แล้ว
หมาถูกขังกรง ไม่ปล่อยให้ออกมาวิ่ง อาหารได้ครบทุกมื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่แย่ที่สุดคือ หมาป่วย ไม่มีการดูแล ปล่อยให้ตายคากรง และไม่เอาศพออกมาด้วย ปล่อยให้เน่าอยู่ในกรงรวมกับหมาที่ยังมีชีวิตตัวอื่นๆอยู่อย่างนั้น

แววตาของพวกมันที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นน่าเวทนายิ่งกว่า

ไม่อยากจะยกหัวขึ้นมาดูอะไรทั้งสิ้น สิ่งต่างๆในชีวิตเลือนหายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาดูแล ไม่มีโอกาสได้ออกไปใน ชีวิตที่เหลือถูกหมกเน่าอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมแคบๆที่ต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนหมาไร้วิญญาณอีกหลายตัว

ภาพนั้นยังติดตาผมอยู่เลย

ถ้าผมมีตังค์ ถ้าผมรวย

ผมจะเอาพวกมันออกมาให้หมด เอามาเลี้ยงเอง อย่างน้อย ถ้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตหรือตายตามยถากรรม ก็ปล่อยให้มันได้เดินเองได้ วิ่งเองได้ คงจะดีกว่า

ไม่เข้าใจว่า ทำไม มนุษย์เรา ต้องไปทำอะไรแบบนั้นกับสัตว์ที่ไม่ได้เป็นพิษภัยกับเราด้วย

หรือแค่ว่า เพราะมันไม่ใช่มนุษย์ ก็เลยไม่มีสิทธิ์จะมีเสรีภาพเหมือนเราๆ

อันนี้ถกกันยาวครับ ประเด็นนี้ ผมพวกอ่อนไหวกับเรื่องหมาๆอยู่แล้วด้วย

กลับมาเรื่อง Bike กันต่อ

โอเคครับ

ผมไม่ได้ว่ากิจกรรมมันไม่ดี

แนวคิดมันดีครับ มันน่าสนใจและน่าร่วมด้วย

แต่

ผมอยากให้ผู้เกี่ยวข้อง ตีโจทย์ในขั้นตอนกระบวนการทำงานหน้างานจริงให้ดีกว่านี้หน่อยครับ

การปั่นจักรยานเป็นหมู่คณะ ไม่น่าทำให้รถติดมหาศาลได้มากขนาดนี้ ตำรวจหรือผู้เกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนร่วมหรือวางแผนงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับภาคจราจรได้ดีกว่านี้นะครับ

แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าตำรวจหลายๆคนก็ไม่ได้อยากจะมาจัดงานนี้หรือ support งานที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย แต่คงขัดไม่ได้ ก็มีเยอะ

ปั่นไปน่ะดีครับ

แต่ผมไม่อยากให้ลืมจุดหมายของกิจกรรมวันนี้ ในเดือนแห่งวันแม่นี้เท่าไหร่

"ทดแทนคุณแม่" อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นลูกตัวอย่างนะครับ

แต่ ถ้าใครที่ไม่สะดวกปั่นจักรยาน ก็อยู่บ้าน ทำกับข้าวกับแม่ ทำให้แม่กิน หรือทำความสะอาดบ้านให้แม่ก็ได้นะครับ รวมไปถึงบีบนวดแข้งขาให้แม่ ผมก็ว่า น่ารักไม่แพ้กัน

ขณะที่ลูกบางคน จะปั่นเพื่อแม่ ก็ต้องมาขอตังค์แม่ไปซื้อจักรยานใหม่ ซื้อชุดปั่น ซื้อหมวกกันน็อค หรือแม้แต่ซื้อเสื้อสีฟ้า ที่ผมไม่รู้ว่า กำไรมันเข้ากระเป๋าใครไปบ้าง แต่ก็เอาเหอะ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ขาย แต่อยากให้ทุกคนไม่ลืมว่า

"ทำเพื่อแม่" น่ะ มันไม่ได้มีแค่ "ปั่นจักรยาน" นะครับ

ส่วนที่เหลือ ถ้าใครที่ชอบการทำเพื่อการกุศล ทำเพื่อเทิดทูนพระบารมี หรือมีเป้าหมายเชิงกุศลต่างๆ ก็แล้วแต่สะดวกนะครับ เชื่อว่า เจตนาดี ก็คงจะเพียงพอ

สำหรับประเทศนี้นะครับ

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อีก 138 วัน....

วันนี้เปิดทำงาน 1 วัน เป็นวันศุกร์ หลังจากที่ วันพุธ กับ พฤหัส เป็นวันหยุด Shutdown ของโรงงานผม ไม่เข้าใจว่าจะเหลือวันศุกร์ไว้ให้มาทำงานทำพระแสงด้ามง้าวอะไร แต่ช่างเหอะ งานกีฬาสี ที่จัด 13 สค. ผมก็ไม่ได้ไป เพราะติดงานที่ร้าน

บ้านผมเพิ่งได้ทำวอลเปเปอร์ใหม่ทั้งหลัง (เฉพาะชั้น 1) บวกกับม่านม้วนสีฟ้าและน้ำเงิน สุดอลังการเลยทีนี้ รอพ่อแม่มาเจอแทบไม่ไหว หึๆๆ

ช่วงนี้ เห็นเพื่อนๆผมสมัยประถม นัดคุยนัดกินข้าวกันไม่เว้นแต่ละวัน อันนั้นไม่เท่าไหร่ ที่อยู่ในกระแสด Line Chat ที่ผมได้อ่านผ่านๆตามาทุกวัน ก็เห็นจะมีเรื่องเพื่อนคนนึงที่ชอบลากเพื่อนในห้องไปฟัง Unicity ซึ่งการขายตรงเนี่ย ผมก็ไม่ได้แอนตี้อะไรหรอก แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้ถูกชวน เดี๋ยวก็มีดราม่า ซึ่งในห้องก็มีแล้ว เบรคคนขายของกันซะเต็มเหนี่ยว

ส่วนอีกเรื่อง ก็เป็นเรื่องพวก "หวานๆ" ประมาณว่าจีบกันโต้งๆผ่านไลน์กลุ่ม ไรเงี้ย ให้ตายเหอะ

เพื่อนเก่าผู้ชายคนนึง จีบเพื่อนหญิงในห้อง แบบโต้งเลยนะ

แล้วมันก็หายไป อยู่ๆก็หาย อีกเดี๋ยวก็มา อะไรนักหนาก็ไม่รู้

เหมือนเด็กขี้น้อยใจอ่ะ อยู่ๆจะไปก็ไป จะมาก็มา อ่านไปอ่านมา ไม่รู้ว่ามันจะหาเรื่องงอนกันได้เยอะแยะไปไหน

ไม่ได้มีกันแค่เรื่องของพวกนี้นะ ไอ้เรื่องงอนๆกันเนี่ย เต็มไลน์เลย เดี๋ยวคนนู้นงอนคนนี้ คนนี้งอนคนนู้น บางทีผมก็งงนะ คือ มันเป็นเพื่อนเก่ากัน จะรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกัน ผมก็ว่าเป็นเรื่องดี แต่ไอ้ที่จนถึงขนาด ต้องตามง้อกันเนี่ย ผมว่า มันก็เกินไป

หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้แชตไลน์คุยกะพวกมัน หรือเปล่า อันนี้ไม่รู้ เพราะบางเรื่อง แม่มก็ไร้สาระชิบหาย

บางคน ก็ชอบถ่ายรูปมาอวดนั่นอวดนี่ ผมว่า มันก็ดีอ่ะนะ ส่วนบางคน ก็ชอบตัดพ้อ ที่เห็นเยอะๆ ก็คงเป็นแบบ ชอบแซวกันอ่ะ

แต่ก็เอาเหอะ ถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร ก็น่าจะทำได้เต็มที่นะ

หรือเพราะผมหลุดพ้นสภาวะแบบนั้นมาแล้วกันหว่า
ไม่รู้สึกว่า "อิน" หรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนั้นเท่าไหร่เลย

ก็แน่สิ กลุ่มมันมีตั้งเกือบร้อยนี่หว่า เหอๆๆๆ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review : Yowamushi Pedal โอตาคุน่องเหล็ก --- Spoil ไส้ทะลัก

ในที่สุด
ผมก็ดูมันจนจบ
หลังจากที่อ่านมังงะ ลายเส้นธรรมดาซะจนเหมือนอ่านฆ่าเวลา
แต่พอมันออกมาได้ไม่กี่ตอน ก็เสาะหาตอนใหม่ๆจนไปเจออนิเมะซึ่งดูเหมือนจะจบไปแล้ว
ก็คิดว่า เออ คงเป็นเพราะมันลงลิขสิทธิ์ คนแปลออนไลน์ก็เลยต้องหยุด

ก็เข้าไปดูกันเล่นๆ ว่าเนื้อหาตอนต่อไปนั้นใครจะชนะในการแข่งครั้งแรกของพระเอก

เกริ่นกันก่อน

ตัวเอง "โอโนดะ ซากามิจิ" เด็กหนุ่มปีหนึ่งซึ่งเป็นโอตาคุตัวพ่อ แฟนพันธุ์แท้อนิเมะเรื่อง Love Hime สาวน้อยเวทย์มนต์อะไรเทือกนั้น ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนม.ปลายโซโฮคุ โรงเรียนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่ 2 เรื่อง

หนึ่งคือชมรมจักรยานสมาชิกไม่กี่คนที่มีฝีมือสูงมากและทำผลงานได้ดีในอินเตอร์ไฮปีที่แล้ว แต่เพราะอุบัติเหตุ จึงไม่สามารถทำอันดับและผลงานได้ดีนัก

ส่วนสอง คือด้านหลังโรงเรียนที่เป็นเนินสูงชันที่ไม่เหมาะกับการขี่จักรยานมาโรงเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนส่วนใหญ่ถ้าไม่นั่งรถบัสมาทางด้านหน้าโรงเรียน ก็จะเดินไปกลับด้านหลังโรงเรียนที่เป็นเนินสูงชันนั้นแทน

แต่โอโนดะนั้นไม่ใช่คนปกติ

เขาเป็นโอตาคุที่บ้าการ์ตูนขั้นเทพ
ด้วยบุคลิกที่ไม่น่าสนใจ ลุกลี้ลุกลน ไม่มั่นใจในตนเอง และด้วยความที่เป็นโอตาคุตัวพ่อ จึงทำให้โอโนดะเป็นเด็กที่แทบจะไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว เพราะความไม่เด่นและบุคลิกแปลกๆของเขา

สิ่งเดียวที่ทำให้โอโนดะมีความสุขตลอดมาตั้งแต่เด็ก คือการได้ปั่นจักรยานแม่บ้านไปอากิฮาบาระ ดินแดนแห่งโอตาคุทุกสัปดาห์ ไม่ต้องพูดถึงช่วงปิดเทอมที่พี่แกจะปั่นไปกลับทุกวัน ขอแค่ให้ได้ดมกลิ่น และเก็บเงินค่าขนมอันน้อยนิดเอาไปซื้อกาชาปอง ฟิกเกอร์ ซีดี หรืออะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับการ์ตูนที่เขาชอบ

เหตุผลที่เขาเลือกขี่จักรยานไปกลับบ้านกับอากิฮาบาระทุกครั้ง ก็คือ เพื่อที่จะประหยัดค่าตั๋วรถไฟแล้วเอามาซื้อของเกี่ยวกับอนิเมะที่เขาชอบนั่นเอง

"อิมาอิซึมิ ชุนสุเกะ" เด็กหนุ่มหน้าตาบุคลิกดีที่บ้าจักรยานเสือหมอบ (Road Racer) เป็นอย่างมาก แทบจะหายใจเข้าออกเป็นการปั่นจักรยานเลยทีเดียว มีความฝันเพียงอย่างเดียวคือชัยชนะ เขามีความสุขกับการปั่นและขึ้นนำผู้แข่งขันคนอื่นจนเข้าเส้นชัยเพราะเหตุผลที่ว่า "มันเงียบดี"

อิมาอิซึมิแพ้ให้กับเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันชื่อ "มิโดซึจิ" เขาจึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะซ้อมจักรยานอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะสมัครเข้าชมรมจักรยานโซโฮคุและเข้าร่วมแข่งอินเตอร์ไฮเพื่อจะไปล้างแค้นมิโดซึจิ

ขณะที่อิมาอิซึมิกำลังปั่นจักรยานซ้อมที่เนินด้านหลังโรงเรียน ก็ได้พบกับโอโนดะที่ปั่นจักรยานแม่บ้านไปพลางฮัมเพลง "Love Hime" การ์ตูนโปรดของเขาไปพลาง อิมาอิซึมิประหลาดใจที่เห็นเด็กคนอื่นปั่นจักรยานแม่บ้านในเนินชันหฤโหดแบบนี้ อีกทั้งพอจะลองฝีมือของโอโนดะ ก็พบว่าเขามีรอบปั่นที่มากมายมหาศาลผิดกับคนธรรมดา จนด้วยความไม่ตั้งใจ อิมาอิซึมิ ก็รู้สึกว่า โอโนดะนั้น เหมือนเป็นคู่แข่งโดยบังเอิญ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากโอโนดะว่า เขาปั่นจักรยานไปกลับอากิฮาบาระเป็นระยะทาง 90 กม.ทุกอาทิตย์ ก็ยิ่งประหลาดใจ และท้าแข่งกับโอโนดะในที่สุด

โดยวางเดิมพันว่า ถ้าโอโนดะชนะ อิมาอิซึมิ จะยอมเข้าร่วมกับชมรมอนิเมะที่โอโนดะพยายามจะก่อตั้ัง

โอโนดะที่มีความฝันว่า สักวันหนึ่ง อยากจะตั้งชมรมอนิเมะ และไปเที่ยวกับเพื่อนๆในชมรมที่อากิฮาบาระบ่อยๆ ก็วาดฝันไว้ซะดิบดี ยิ่งเขาเองไม่เคยมีเพื่อนเลยด้วย การที่อิมาอิซึมิยื่นข้อเสนอมาให้แบบนี้ ทำให้โอโนดะไฟลุกท่วม และตอบตกลงแข่งขันกับอิมาอิซึมิไป

การแข่งเริ่มต้นขึ้น โดยแข่งกันว่า จากตีนเนินด้านหลังโรงเรียน ใครที่ขึ้นไปยังประตูโรงเรียนได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ

อิมาอิซึมิต่อเวลาให้โอโนดะออกตัวก่อน 15 นาที เพราะเห็นว่าเป็นจักรยานแม่บ้านและเป็นมือสมัครเล่น เขาไม่อยากชนะด้วยความได้เปรียบมหาศาลทั้งจักรยานและประสบการณ์แบบนี้

"คันซากิ มิกิ" เด็กสาวปีหนึ่งผู้บ้าจักรยานและเป็นเพื่อนกับอิมาอิซึมิมาตั้งแต่เด็ก เข้ามาเป็นกรรมการให้ เธอมองเห็นความสามารถของโอโนดะและเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือชมรมจักรยานได้ จึงพยายามช่วยเหลือและสนับสนุนให้โอโนดะสามารถพัฒนาความสามารถในการขี่จักรยานของเขาได้อย่างตรงไปตรงมา

ผลการแข่งขันออกมาตามคาด คืออิมาอิซึมิชนะโอโนดะไปได้ แต่ที่ผิดคาดคือ ความพยายามของโอโนดะนั้นเล่นเอาอิมาอิซึมิถึงขั้น "หืดขึ้นคอ" ซึ่งการแข่งขันทั้งหมดนั้น ถูกจับตามองโดย "รุ่นพี่ปี 3" ของชมรมจักรยานด้วยเช่นกัน

วันต่อมา โอโนดะก็ได้พบกับอิมาอิซึมิอีกครั้ง ซึ่งอิมาอิซึมิก็ยอมรับในความสามารถของโอโนดะ พร้อมทั้งชวนให้เขามาเข้าร่วมชมรมจักรยานเพราะเห็นว่ามีแวว แต่โอโนดะก็ยังอยากจะตั้งชมรมอนิเมะขึ้นให้ได้มากกว่า ตามความตั้งใจเดิม

หลังจากการแข่งขัน โอโนดะพยายามประกาศตั้งชมรมอนิเมะ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาปั่นจักรยานไปเที่ยวอากิฮาบาระเหมือนปกติ

โชคชะตาได้นำพาให้โอโนดะได้มาพบกับ "นารุโกะ โชคิจิ" เด็กหนุ่มบ้านนอกเลือดร้อนจากนานิวะที่ย้ายมาอยู่ที่จิบะ ก็ได้มาพบกับโอโนดะและให้โอโนดะแนะนำร้านต่างๆให้นารุโกะเพื่อจะได้ซื้อของไปฝากน้องๆที่บ้าน นารุโกะก็เป็นพวกบ้าจักรยานเข้าเส้นเหมือนกัน พอได้มาเห็นจักรยานของโอโนดะก็ได้รู้ว่าโอโนดะนั้น รักจักรยานเช่นเดียวกับตนเอง จึงรู้สึกประทับใจโอโนดะเป็นพิเศษ

ระหว่างที่กำลังจะกลับ ชายหนุ่มแปลกหน้าขับรถมาใกล้และโยนก้นบุหรี่ใส่จนโดนจักรยานโอโนดะ ทำเอานารุโกะโมโหจนเลือดพล่านที่เห็นคนทำร้ายจักรยานตรงหน้า ขณะที่กำลังจะขี่จักรยานกลับบ้านด้วยกัน นารุโกะก็เห็นรถของชายที่โยนก้นบุหรี่ใส่จักรยานจอดติดไฟแดงอยู่ จึงวางแผนจะเอาคืนโดยการปั่นจักรยานกับโอโนดะไปให้ทันรถยนต์คนนั้น

โอโนดะรับคำอย่างเสียไม่ได้เพราะนารุโกะไม่ได้ให้ทางเลือกเขาเท่าไหร่นัก ก็จับพลัดจับผลูตกกระไดพลอยโจนไปด้วย

โอโนดะตกใจกับความสามารถในการ "สปรินต์" ของนารุโกะที่เป็น Sprinter อย่างมาก เช่นเดียวกับนารุโกะที่ตะลึงกับ "รอบปั่น" ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อของโอโนดะที่ปั่นจักรยานแม่บ้าน

การไล่ตามรถยนต์คันนั้น แม้สุดท้ายจะไม่ได้คืน "ก้นบุหรี่" ให้กับเจ้าของรถยนต์ แต่ก็ทำให้ทั้งสองคนเกิดมิตรภาพดีๆให้แก่กัน

วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียน โอโนดะจึงได้รู้ว่า นารุโกะ คือนักเรียนที่ย้ายมาใหม่และเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน

นารุโกะชวนโอโนดะให้เข้าร่วมชมรมจักรยานเพราะเห็นแววเช่นเดียวกับที่อิมาอิซึมิเห็น โอโนดะคิดแล้วคิดอีก จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมชมรมจักรยานดีกว่า เพราะจักรยานนั้น ค่อยๆสร้างเพื่อนให้กับเขาอย่างไม่คาดคิดเหลือเกิน ทั้งอิมาอิซึมิ คันซากิ และนารุโกะ

นั่นคือจุดเริ่มต้นของ เด็กหนุ่มโอตาคุนักปั่น ที่จะสร้างพายุลูกใหม่ให้กับการแข่งขันอินเตอร์ไฮในปีนี้

(ว่างๆจะมาต่อนะครัช)

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เหลืออีก 146 วัน ก่อนสิ้นปี ก่อนการเป็นลูกจ้าง....

หัวเรื่องไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรือเปล่า แต่ช่างเถอะ ระบายมันไปเรื่อยๆละกัน

ช่วงนี้มีประเด็นเล็กๆน้อยๆหลายอย่างในชีวิตทีเดียว

เรื่องเพื่อนสมัยประถมที่อยู่ๆก็นัดกันมาเจอกันได้ยังไงก็ไม่รู้ นี่ก็นัดไปกินกันแถวบางแสนเอาวันที่ 28 สค. ก็ดี จะได้ไปเจอกันได้สักที ได้พูดคุยทำความรู้จักกันบ้างอะไรบ้าง นะ

เรื่องลูกน้องในแผนกที่เริ่มจะมีแขวะๆกันบ้าง ไม่กินเส้นกันบ้าง ไม่ลงรอยกันบ้าง ตามประสาคนทำงานด้วยกัน ก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย อันนี้ก็พูดยาก เพราะผมก็เข้าใจว่า ถ้าลงเราหมั่นไส้ใครไปแล้ว การจะกลับมาดีด้วยอีกครั้ัง มันก็ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ปรับตัวเข้าหาก่อน ก็คงกลับมาดีกันได้ไม่ง่ายเท่าไหร่

แต่ก็ทำได้แค่นั้น ปล่อยๆเด็กมันไปบ้าง ไม่อยากจะไปคิดแทนมันหรือรองรับความรู้สึกมันมาก เพราะเราก็โตๆกันหมดแล้ว ทำงานหาเงินกันได้หมดแล้ว แต่ละคนควรต้องแก้โจทย์ของตัวเองไป น่าจะดีกว่า

ยิ่งถ้ามันรู้ว่าเราจะออกสิ้นปีนี่ด้วยนะ ยิ่งลำบากเลยทีนี้

เรื่องงานแต่งเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ก็คงไปไม่ได้ เพราะงานที่นี่เยอะเหลือเกิน รถก็ดันถูกชน แฟนไม่มีรถไว้วิ่งงาน ก็คงต้องไปช่วยอย่างเต็มที่อ่ะนะ

เรื่องน้องหมาที่ว่าจะไปรับอุปการะดูแลเขา นี่ก็พูดยาก เพราะดูแล้ว มันยังไม่น่าสงสารเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องเข้าไปดูก่อนอ่ะนะ ว่าน้องหมานั้นเขาน่าสงสารมากแค่ไหน ส่วนนึงคงต้องปฏิเสธไปนั่นแหละว่า คงรับเลี้ยงทั้งหมดไม่ได้ ก็จะช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ละกัน

ช่วงนี้ติดดูอนิเมะ เรื่อง Yowamushi Pedal เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มโอตาคุที่มีความสามารถด้านการปั่นจักรยานมากกว่าคนธรรมดา และการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชมรมจักรยานก็ทำให้เขาได้ค้นพบโลกอีกใบที่เติมเต็มชีวิตเขา

เรื่องนี้ผมดูแล้วติดหนึบเลย อาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกีฬาด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่การจัด Storyboard ผมว่าใช้ได้ ยิ่งเพลงประกอบ Build อารมณ์นี่ ผมว่าผ่าน ได้ใจผมไปเต็มๆ ฉากที่ตัวละครแต่ละตัวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้กำลังและความสามารถของตัวเองเพื่อเอาชนะคู่แข่งนี่ มันสร้างแรงกระตุ้นและความสนุกสนานให้ผมได้อย่างประหลาด

กลับไปคงต้องดูอีก

นี่ยังไม่รวมเรื่องที่พอไปดูที่ดินมา ว่าจะสร้างบ้านที่จะเอาไว้อยู่กันบั้นปลายชีวิต และแฟนเราก็เข้ากันได้กับครอบครัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ

คิดๆไปแล้วก็เหมือนฝัน มีแฟนที่ดี มีงานที่ดี มีครอบครัวที่ดี มีสุขภาพที่ดี(?)
อิจฉาชีวิตตัวเองเสียนี่กระไร 555

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เปรียบเทียบหัวหน้าใหม่กับหัวหน้าเก่า เจอคนใหม่ว่าลำบากแล้ว คนใหม่ทำอะไรไม่เป็นเลยนี่ยิ่งลำบากนะ T T

ผ่านมาได้ 1 เดือน หลังจากหัวหน้าเก่ากลับญี่ปุ่น หัวหน้ามาใหม่เข้ามาแทนที่

ความแตกต่างมากมายก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลในแผนก

ส่วนหลักสำคัญใหญ่ๆเลยคือ หัวหน้าทั้งสองคนนั้น ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

หัวหน้าเก่านั้น เก่งด้านตัวเลข ข้อมูลเชิงลึก และทำงานด้วยตัวเองได้ค่อนข้างมาก อะไรที่ยากลำบาก และดูไม่เหมาะกับความเป็นจริง หัวหน้าเก่านี้จะปรับเปลี่ยนแก้ไขตามสไตล์ตัวเองเพื่อให้ภาพรวมออกมาดูเป็นไปได้มากที่สุด

แปลง่ายๆคือ อะไรที่ดูไม่ Make sense นางจะแก้ไขและ Lobby คนที่สงสัยใคร่รู้ด้วยตัวเอง และคนส่วนมากที่ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลเชิงลึกของ IE นี้ ก็มักจะไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงหรือหาข้อมูลตัวเลขมาหักล้างได้

จนในที่สุด ก็มักจะไม่มีใครสนใจจะถามอะไรอีก

เวลา Present ใหญ่ๆ ก็มักจะคอยช่วยตอบคำถามและหาทางหนีทีไล่ให้ลูกน้องได้อย่างเหลือเชื่อ จนทำให้เราเบาใจ และรู้สึกได้ว่า ไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก เพราะมีอะไร หัวหน้าก็จะ Cover และ Back Up เราทั้งหมด จนไม่ต้องถูก Complain มาก

ส่วนหัวหน้าใหม่ที่มาแทน

ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มาเลยแม้แต่น้อย

แผนกเก่าที่เขาอยู่ ก็ไม่ได้ใช้ตัวเลขหรือการวิเคราะห์ข้อมูลแนวนี้แต่อย่างใด

เหมือนเคยทำฝ่ายเทคนิคของสินค้ามา แล้วต้องมาทำพวกข้อมูลเชิงประสิทธภาพ มันไปด้วยกันไม่ได้อย่างแรง

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ หัวหน้าใหม่แทบจะทำอะไรเองไม่ได้เลยสักอย่าง ต้องอาศัยลูกน้องทุกอย่างไปให้คอยช่วยเหลือ Support ข้อมูลทุกตัว แถมยังไม่สามารถคำนวณหรือวิเคราะห์ตัวเลขในภาพรวมและภาพย่อยได้เลยแม้แต่น้อย

ผลที่ตามมาคือ

หัวหน้าใหม่นั้น ต้องให้เราช่วยคิดและวิเคราะห์อะไรๆทุกอย่างใหม่หมด แถมการที่ไม่มีความรู้เชิงลึกในด้านนี้มาก่อนนั้น ก็ทำให้ต้องถามลูกน้องซ้ำๆซากๆ ถามแล้วถามอีกอยู่ตลอด จนเด็กๆหลายคนบ่นว่า จะต้องให้อธิบายอะไรกันมากมายหลายรอบอะไรจะขนาดนั้น

ซึ่ง ตัวหัวหน้าใหม่นี้เอง ก็ไม่รู้ว่า ทำไม ผู้ใหญ่ทางสำนักงานใหญ่ ถึงส่งให้แกมาดำรงตำแหน่งในแผนกนี้ ไม่มีใครตอบได้ นอกจากคนสั่งการ

อาจเป็นเพราะ
โรงงานทางนู้นไม่สามารถรองรับการเติบโตของพนักงานได้ จึงต้องให้มา Up ตำแหน่งเก็บ Skill จากแผนกอื่น
หรือ เพราะคนๆนี้ทำงานดีมาก (ซึ่งผมว่าไม่น่าใช่) ก็เลยจะ Up ตำแหน่งให้ โดยการย้ายมาประจำที่โรงงานที่ไทยเพื่อให้ฝึก Skill การบริหารงาน
หรือที่แย่สุดคือ ทางนู้นเขาไม่เอาคนๆนี้ ก็เลยผลักไสไล่ส่งมา โดยเชื่อว่า แผนกผมนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคนญี่ปุ่นที่ "เก๋า" มากๆก็เป็นได้ จะเพราะคนไทยมันทำงานกันเองได้ หรือไม่จำเป็นต้องมีใครมาคุม หรือแค่มีคนคอยเป็นหัวโขนให้ ฯลฯ ก็แล้วแต่จะคิดได้

ซึ่งผมไม่อยากไปคิดอะไรมากตรงนั้น เพราะคิดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แค่บ่นกับตัวเองก็เหนื่อยพอแล้ว ยังไม่รวมงานที่เขาสั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายถ้าเทียบกับตอนอยู่กับหัวหน้าเก่า

อารมณ์ว่าคนเก่า สั่งงานประมาณ 1 คนนี้สั่งประมาณ 10

แน่นอน ว่ามองในแง่ลบ มันคือการทำให้เราทำงานได้ยากขึ้น เยอะขึ้น และเหนื่อยมากขึ้น

แต่มองในแง่บวก ผมว่า มันทำให้ผมออกจาก Comfort Zone ได้โดยจำเป็น (เพราะ Fight บังคับ)
ไม่รู้จริง รู้มากขึ้น ก็ไม่ได้ ต้องรู้เอง ต้องทำเองเป็นให้หมด

เพราะมันไปหวังพึ่งหัวหน้าใหม่คนนี้ไม่ได้

นี่ยังไม่รวมว่า หัวหน้าใหม่จะโยนขี้ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าลูกน้องด้วยหรือเปล่านะ (ข้อนี้ก็ตอบไม่ได้อีก ต้องเล่นการเมืองล้วงตับกันอีกพักใหญ่ๆ)

แต่เอาเหอะ
ยังไงซะ ผมก็กะจะออกสิ้นปีอยู่แล้ว
ก็ทำไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่ม Skill การระแวดระวัง การคิดวิเคราะห์ และการประมวลผลเชิงลึกให้ตัวเองไปเรื่อยๆ ก็พอ

มองในแง่ดี
เราเก่งขึ้น
เรามีวินัยมากขึ้น
เราทำงานเร็วขึ้น
และเผชิญหน้าต่อสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น

คิดแบบนั้นละกันนะ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำร้ายสัตว์ หมาแมวจรจัด มันไปทำอะไรให้(มึง) ครับ???

คือ ไม่เข้าใจว่า ทำไมโลกนี้มันจะมีอะไรโหดร้ายทารุณกันนักหนา

โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบหมา รักหมา
ผมว่ามันน่ารัก และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคน

แต่ทำไม ใน internet หรือโซเชี่ยลต่างๆ
ก็มักจะได้เห็นได้รับรู้ตลอดๆว่า หมาข้างถนนหรือหมาจรจัดทั้งหลาย ถูกคนใจร้าย ทารุณมันต่างๆนานา

ทั้งเอาปืนยิง
เอามีดฟัน
เอาน้ำร้อนราด
ขับรถชน
กระทืบจนตาย
วางยาเบื่อ
และ อีกมากมาย

คือ... ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องไปทำร้ายมันกันด้วย

คนที่ทำร้ายสัตว์ได้อย่างหน้าตาเฉย
คือ เขาไม่รู้จริงๆหรือ ว่า ในศาสนาพุทธ ศาสนาประจำชาติ ศาสนาที่เราเขียนเป็นภาษาไทยตัวสีฟ้าๆอยู่ในบัตรประชาชนของเรานั้น

เขาบัญญัติ "ศีลขั้นพื้นฐาน" ที่เรียกว่า "ศีล 5"

และข้อแรกจาก 5 ข้อนั้น
คือข้อ "ปาณาฯ" ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น นั่นรวมถึง ทั้งคน และสัตว์ต่างๆบนโลกนี้

คนที่เขาทำร้ายสัตว์ได้อย่างหน้าตาเฉย

ส่วนตัวคิดว่าต้องเป็นคนจิตใจโหดร้าย อำมหิต
แต่อยู่ๆ คนเหล่านั้น เกิดมา จะเหี้ยมโหดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
เขาคงได้เห็น ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขา "เหี้ยมโหด" ในตอนที่เติบโตขึ้นต่อๆมา

อาจจะมีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ใจร้ายอยู่ก่อน
หรือเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ "เฉยๆ" กับการรังแกและทำร้ายสัตว์อื่น

อันนี้ผมไม่รู้ได้ และไม่เข้าใจด้วย

ส่วนตัวผมคิดว่า ชายไทยส่วนใหญ่ น่าจะได้มีโอกาสได้รู้จักพุทธศาสนา
และได้มีโอกาสรับศีล 5 หรืออย่างน้อย ในบทเรียน ในตำรา หรือการได้เข้าวัดฟังธรรมในโอกาสต่างๆ ก็น่าจะนำพาให้พวกเขาได้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับพุทธศาสนาเกินไปนัก

แต่ทำไม เราถึงเห็นการทารุณกรรมสัตว์อย่างมากมายในประเทศนี้
ประเทศที่ได้ชื่อว่า "เมืองพุทธ"

นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องอื่นๆอีกมากมายนะ

อย่างเรื่อง
การโกงกิน
การลักขโมย
การเป็นชู้ ผิดผัวผิดเมีย
การโกหก คอรัปชั่น
การดื่ม เมาแล้วขับ ชนแล้วหนี
การใช้กฏหมายที่ไม่ได้เรื่องได้ราว
ความเหลื่อมล้ำ
การเอารัดเอาเปรียบ

และอีกมากมายเหลือเกิน

แต่ผมแค่สงสัย
ว่าไอ้หลักการพื้่นฐานง่ายๆ
อย่าง "การทำร้ายผู้อื่น" เนี่ย

มันยากเกินกว่าจะเข้าใจตรงไหน

การทำร้ายสัตว์ต่างๆ ที่มีชีวิต มีจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ เหมือนๆกับเรา

ต่างกันก็แค่ "สมอง" กับ "สัญชาติญาณ" เท่านั้น
มันทำให้เราแบ่งชั้นกับสัตว์เหล่านั้นและเข้าใจว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับ "สิทธิอันชอบธรรม" ที่จะทำร้ายใครก็ได้.... งั้นเหรอ

การเป็นมนุษย์
คือการที่เรามีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสัตว์นั่นแหละ

แต่เรามี "อารายธรรม"
เรามี "การยับยั้งชั่งใจ"
เรามี "เหตุผล"
เรามี "ควาสำนึก"

นี่ต่างหากไม่ใช่หรือ คือสิ่งที่ทำให้เรา "อยู่สูงกว่าสัตว์"

ไม่ใช่เกิดมา มีสองขา เดินตัวตรง
ก็สูงกว่าสัตว์แล้ว
จะทำร้าย จะฆ่า จะทรมานมันยังไงก็ได้

ไอ้ที่ว่าทำร้ายสัตว์แบบน่าเกลียดๆก็ว่าทุเรศแล้วนะ
ไอ้พวกที่เอาสัตว์มาเลี้ยง แล้วทำร้ายมัน ทรมานมัน ยิ่งแล้วใหญ่
จะเอามาทำไมวะนั่น

ไม่เข้าใจ

ถ้าผมมีเงิน
ผมจะเอาหมาแมวจรจัดทุกตัวที่ผมเจอ มาเลี้ยงให้หมดเลย
ค่าอาหารค่าหมอเท่าไหร่ ผมจ่ายเอง ทำหมันให้หมด

แต่เหนือกว่านั้น

ถ้าคนในชาติ ในประเทศ ในศาสนานี้ ศาสนาเดียวกับผม

สามารถเข้าใจได้มากขึ้น
ว่า การ "ไม่เบียดเบียนผู้อื่น" นั้น มันสำคัญและควรจะต้องทำเพราะอะไร

ผมคงจะมีความสุขและสบายใจมากกว่านี้

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จบสิ้นเดือน กค. เหลือเวลาชีวิตลูกจ้างอีก 153 วัน!!!

วันเวลามันผ่านไปเร็วดีจริงๆ ให้ตายเหอะ

ตอนแรกกะว่าจะพิมพ์ content ทุกวัน เก็บไว้เป็น Diary เตือนใจถึงช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดในชีวิตการทำงานประจำ ก่อนจะออกมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับแฟนตัวเอง

แต่พอทำๆไป ก็ยิ่งพาให้ตัวเองเข้าโหมด "เบื่อโลก" มากขึ้นทุกทีๆ

กลับบ้านไป ไม่ต้องพูดเรื่องออกกำลังกาย

นั่งหน้าคอมเมื่อไหร่คือเมื่อนั้น เผาเวลาหมดไปกับการทำ Online Marketing ที่ไม่ได้ "เต็มที่" ซะเท่าไหร่

งานที่ยังต้องทำก็เหลืออีกมากเหลือเกิน

- สร้างเว็บไซต์หน้าร้านให้ร้านผ้าม่าน
- สร้างโฆษณาใส่ Adwords เองให้เป็นให้ได้
- เพิ่ม Content ดันอันดับ Affiliate ที่ทำของตัวเอง

นี่ยังไม่รวมการฝึกฝนให้เก่งเรื่องทำ Stock Vector อีกนะ

แค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว Target กูจะ Challenge ไปไหนวะ

แต่ก็เอาน่ะ

ยังไงๆก็ต้องทำ

มันเป็นหน้าที่ ไม่งั้น จะเอาอะไรกินล่ะจริงมั้ย 5555

ว่าแล้วก็กลับไปทำงานประจำต่อรัวๆ

(ยังไม่ได้ลาออกนี่นา)

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ข่าวแตงโมช้ำรัก กินยาหนีความเจ็บปวด

ผมไม่รู้ว่าเรื่องจริงๆมันเป็นยังไง เลยไม่อยากไปทับถมหรือซ้ำเติมคนที่บาดเจ็บอยู่อย่างคุณแตงโม

แต่ถ้าเรื่องมันเป็นออกแนว

เพราะคุณโตโน่ ไปพูดในเวทีคอนเสิร์ตว่า "โสด"
คุณแตงโมได้ยินเข้า เลยรู้สึก "เจ็บปวด"
จนต้องหาทาง "ระบาย" หรือ "ปลดปล่อย" ความเจ็บปวดนั้นไป

ผมไม่อยากพูดเรื่องระหว่างคนสองคนนี้เท่าไหร่ครับ
เพราะเราไม่รู้จริงๆว่า ข้างในลึกๆนั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่

แต่หากพูดถึงความ "เจ็บปวดจากความรัก" ทั่วๆไป
มันก็มีหลายรูปแบบ

รูปแบบที่คล้ายๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ก็คือ

--- การที่แฟนเก่า(หรือคนที่เคยคบกัน) ไปประกาศตัวเองว่า "ฉันโสดแล้วนะ" ทำให้ตัวเราที่ยังรักหรือผูกพันธ์กับเขาอยู่ เกิดความรู้สึกน้อยใจ โกรธ เสียใจ หงุดหงิด ไปจนถึง เจ็บปวดได้ ---

เรื่องนี้ จริงๆ ถ้าใครเคยมีแฟนก็คงจะพอเข้าใจได้ครับ
ว่าการที่แฟนของเรา หรือคนที่เรารัก เขาไปบอกกับคนอื่นว่า "เขาโสด" ทั้งๆที่เรายังรักเขาอยู่นั้น ถ้ามันมาเข้าหูเรา มันจะทำให้เราเจ็บปวดได้ขนาดไหน

ความจริง คนที่พูดว่า "โสด" อาจจะรู้สึกอย่างนั้น หรือไม่เลยก็เป็นได้ อาจแค่บอกออกไปเพื่อประชด เพื่อ make clear สถานะให้ชัดๆ เพื่อตอบคำถามคนอื่นที่ถามกันมาจังเลย หรือแม้แต่ เพื่อบอกตัวเองให้เข้มแข็ง ก็เป็นเหตุผลได้หมดครับ

ประเด็นคือ เราไม่รู้หรอกว่า คนพูดนั้น เขาพูดไปด้วยเหตุผลของอะไรกันแน่

สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือ

ทำความ "เข้าใจ" ครับ

เข้าใจทั้งตัวเขา ว่า เขาไม่ใช่ของเรานะ ตอนนี้ เรากับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน เขาจะไปทำอะไร ไปอยู่กับใคร มันก็เรื่องของเขา

เข้าใจตัวเรา ว่า เราเอง ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเขานะ ไม่ได้สร้างเขามา เขามีชีวิตจิตใจ เช่นเดียวกันกับเรา เมื่อระหว่างเรา มันไปกันไม่ได้ มันก็คือ การสิ้นสุดของความสัมพันธ์

ที่สำคัญคือ เข้าใจโลก ครับ เข้าใจว่า ทุกสิ่งบนโลกนั้น มันก็แค่เนี้ย มันไม่มีอะไร มีพบมีพราก มีจากก็มีเจอ ต้องเข้าใจไว้เสมอ ว่าเราไม่สามารถรักษาอะไรให้มันอยู่ยั้งคงทนได้ตลอดไปหรอก

ที่ผมมาพูดเนี่ย ไม่ได้จะมาบอกว่า ฉันดีกว่า ฉันเก่งกว่า หรืออะไรอย่างไรนะครับ

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเจ็บปวดจากความรัก เฉกเช่นเดียวไม่ต่างกับเพื่อนมนุษย์อีกหลายท่าน ที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป

แต่....

ผมอยากเตือนสติ หลายๆคนที่กำลังประสบพบเจอปัญหาที่คล้ายๆกันอยู่นี้

มันนึกภาพออกง่ายครับ ว่า เมื่อเรารักใครสักคน แล้วได้รับความรักนั้นตอบกลับมา มันมีความสุขแค่ไหน และพอเราสูญเสียมันไป ถ้าเรายังไม่หมดรัก มันก็ยิ่งเจ็บปวด ถ้าได้รู้ว่า เขาคนนั้น ที่เรายังรักอยู่ อาจจะไม่ได้คิดถึงเราเท่าที่เราคิดถึงเขาอีกแล้วก็ได้

แต่ มันห้ามกันได้มั้ยล่ะครับ
ห้ามไม่ให้คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา คิด พูด หรือทำอะไรอย่างใจเราได้ไหม?

ถ้าได้ โลกนี้คงไม่มีใครเป็นทุกข์แล้วล่ะครับ

และเพราะมันห้ามไม่ได้นั่นแหละ
ความสัมพันธ์ มันถึงเป็นอะไรที่ ทั้งเปราะบาง และก็แข็งแกร่ง นั่นเองครับ

มันสร้างขึ้นจากคน 2 คน ที่ตัดสินใจจะเริ่มต้น "ชีวิตคู่" ร่วมกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้น จะใหญ่โต เพิ่มพูนขึ้นมากแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องของคนสองคน
และพอมันล่มสลาย สิ้นสุด หรือแตกหักลง
มันก็เป็นเรื่องของคนสองคนนั้นครับ ที่ต้องกลับมามองกันเองอีกครั้ง ว่าเราจะเอายังไงกับขยะตรงหน้านี้ดี

จะสร้างมันใหม่ขึ้นมาด้วยน้ำมือเราทั้งคู่ จะปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้นแล้วไปสร้างกันเองใหม่อีกครั้ังโดยไม่หันกลับมามองของเก่า หรือจะปล่อยมือจากกัน แล้วไปสร้างของใหม่ขึ้นกับใครคนอื่นอีกสักคน

ถ้าคนใหม่ที่ว่านั้น เขายืนรออยู่ใกล้ๆ เพื่อจะร่วมสร้างกับเรา มันก็คงง่ายกับเรา เพราะคงไม่ต้องไปเดินทางออกตามหาความรักใหม่ที่ไหน

แต่ถ้าเรายังไม่มีคนๆนั้น ก็คงเป็นความยากลำบากอีกเรื่องครับ

ที่เราเอง ก็ต่างพยายามสร้างสรรค์ให้ความสัมพันธ์มันงอกเงยเติบโตขึ้นมา และอยู่ๆ มันก็พังครืนลง ทิ้งเราให้ยืนเหงาว่างเปล่าอยู่คนเดียว มองหาคนที่เคยจับมือกัน ก็ไม่อยู่ข้างๆเสียแล้ว ต่างคนต่างอยู่ไป

แล้วทำไงดีล่ะ จากที่เคยมีกันสองคน วันนี้เหลือตัวคนเดียว มันก็รู้สึกเหมือนขาดหายอะไรไป

ผมอยากจะบอกว่า ตอนที่เรามีความสัมพันธ์กันอยู่น่ะครับ
ให้พูดคุยปรึกษาหารือกันให้ดี ทั้งกับเขา และกับตัวเราเอง

กับเขา คือ เราจะสร้าง "เรื่องของเรา" ต่อยังไง ให้มันเติบโต แน่นหนา แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

กับเรา คือ เราเข้าใจตัวเองจริงๆหรือเปล่า ว่า คบกับเขาไปแล้ว เรามีความสุข หรือทุกข์มากกว่า

เราควร คบกับเขาต่อ แล้วสร้างเรื่องของเราต่อไป
หรือควรหาทางจบกับเขาเสีย แล้วเริ่มเรื่องของเราใหม่กับคนอื่น

เรื่องพวกนี้ไม่มีคำตอบหรอกครับ
มันมีแค่ เรา "เข้าใจ" จริงๆหรือเปล่า

ว่า เราเอง คือตัวเราคนเดียว เขา คือคนหนึ่งในชีวิต มีพบ ก็ต้องมีจาก ไม่จากเป็น ก็จากตาย

เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ เราเลือกแล้วว่า เขาใช่ ก็จงเดินต่อไป อย่าหลอกตัวเอง มุ่งมั่น เดินไปข้างหน้า เพื่ออนาคตของ "เราทั้งคู่" เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำทีหลัง

แต่ถ้าเราเลือกแล้วว่า สำหรับเรา "มันยังไม่ใช่" ก็ต้องเลือกทางแยกตรงหน้าครับ

ทีนี้ เลือกแยกแล้ว ก็ต้องเข้าใจด้วยนะครับ ต้องปรับตัวเองให้สามารถรับรู้กับความเจ็บปวดที่จะมาถึงแน่ๆให้ได้
ใจเรามันไม่ใช่ของเราหรอกครับ อยู่ดีๆมันจะคิดถึงเขา มันก็ไม่ขออนุญาตเราหรอกครับ มันคิดเลย ภาพในหัวมันขึ้นมาเป็นหน้าเขาเลย

ผมเองก็ยังเป็นเลยครับ พอได้ทำอะไรบางอย่าง ได้ผ่านไปบางที่ ที่ทำให้นึกถึงแฟนเก่า มันก็ปร๊าดด เข้ามาในหัวเลย ทั้งๆที่แฟนเรายังอยู่ข้างๆ

แล้วผมทำอะไรล่ะครับ
ผมก็ปล่อยมันผ่านไปนั่นแหละ แค่นั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องในหัวเรา เราไม่เอามาพูด ไม่เอามาทำ ไม่ไปอะไรยังไงต่อ มันก็เป็นแค่เรื่องในหัวเราเท่านั้นแหละครับผม

เรื่องมันจะไม่เลวร้ายเลยครับ ถ้าเราไม่ "กระทำ" หลังจากที่ "ได้รับ" อะไรบางอย่างเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นภาพความทรงจำ หรือมีคนพูดให้ฟังว่าแฟนเก่าเราไปมีคนใหม่แล้วนะ อย่างนู้นนะ อย่างนี้นะ ฯลฯ

มันจะไม่เกิดปัญหาใดๆขึ้นมาแน่ๆครับ ถ้าเราไม่ไป "กระทำ" มันต่อ

กรณีที่เกิดขึ้นนี้คือ ได้รับความเจ็บปวด แล้วไปกินยา จนเกินขนาด

ถามว่า ถ้าเจ็บปวดมาแล้ว ไปเข้ายิม ฟิตเนส ต่อยมวย อ่านหนังสือ ดูหนัง ไปเที่ยว ฯลฯ
ปัญหามันจะไม่เกิดครับ

แต่ถ้าเจ็บปวดแล้ว ไปกินยา ไปทำร้ายคนอื่น ไปหาคนนอนด้วยประชด ไปเล่นการพนัน ฯลฯ
ปัญหาก็เกิดครับ แค่นั้นจริงๆ

ผมไม่ได้ดูถูกความรักหรือความรู้สึกที่คุณแตงโมมีให้คุณโตโน่นะครับ
แต่ ผมว่า คนเรามีทางเลือกอีกเยอะครับ เลือกที่จะทำแล้วก่อให้เกิดผลดีหรือร้ายกับตัวเราและคนที่สำคัญของเราได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราทั้งสิ้น

ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าคุณแตงโม ทำอะไรแล้วมันจะดีที่สุด

และผมก็ไม่มี "มิเตอร์วัดความเจ็บปวด" มาวัดด้วยว่า ความรู้สึกของใครมันเจ็บปวดกว่ากัน ระหว่างคุณแตงโม กับของคนอื่น (ที่หลายๆคนดูจะเจ็บปวดกว่าด้วยซ้ำ)

ส่วนตัวผมไม่ค่อยจะอยากเชื่อนักหรอกครับ ว่าคุณแตงโมอยากจะฆ่าตัวตายประชดรัก

แต่มันคงจะดีกว่านี้แน่ๆ ถ้าวันนึงที่คุณแตงโมผ่านมันไปได้ และทำให้ตัวเองเป็น "คนที่น่าอิจฉา" ขึ้นมา วันนั้น คนส่วนใหญ่ต้องหันมาเป็นกำลังใจและให้เธอเป็นไอดอลของตนเองแน่นอนครับ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"การเปลี่ยนแปลงในองค์กร" ความรู้สึกเล็กๆ จากการต้องออกจาก Comfort Zone โดยไม่ตั้งใจ

วันนี้หัวหน้าใหม่ผมมาครับ

หลังจากที่หัวหน้าเก่า กลับญี่ปุ่นไปแบบปุบปับ ก็เข้าสู่การเปลี่ยนศักราชใหม่ของแผนกที่ผมทำงานอยู่ด้วย แน่นอนครับ หลายๆอย่างมันก็ฉุกละหุก และบางทีก็เหมือนจะไม่ทันตั้งตัว

แต่ก็อย่างว่า ผมอยู่ที่นี่มา 10 ปีแล้ว ได้เปลี่ยนทั้งหัวหน้าก็หลายคน ลูกน้องยิ่งบ่อยกว่านั้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า

จริงๆมันไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรในความรู้สึกของผมมากเท่าไหร่ แต่ก็อดคิดไปไม่ได้ว่า จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีไม่งามบ้างหรือเปล่า

ซึ่งเท่าที่เห็นท่าทีอาการของหัวหน้าใหม่นี้ยังไม่แสดงอะไรออกมามากมายนักว่าจะมีอะไรเลวร้าย

งานต่อไปของผมคือคงจะต้องพาแกไปกินไปเที่ยวไปดื่มเท่าที่โอกาสจะอำนวย เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี และหวังว่าแกจะมองข้ามข้อเสียอันน้อยนิด(...?) ของผมไปบ้าง (555)

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกถึงการใช้ชีวิตในองค์กร ที่ถ้าเราอยู่กับมันยาวๆ สิ่งที่เลี่ยงหรือหลีกหนีมันไม่ได้เลยก็คือ “การเปลี่ยนแปลง” ที่ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าหัวหน้าหรือลูกน้อง ใหญ่สุดก็คงเป็นแผนก

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ ถ้าทำงานมาสัก 5-10 ปี ก็คงต้องมีการโยกย้ายแผนกกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (อย่างผมนี่ถือว่ามาก ส่วนใหญ่จะย้ายผมไปแก้ปัญหาที่คนอื่นก่อไว้ แต่มีครั้งหลังสุดนี่แหละ ที่ย้ายผมมาเพราะไม่งั้นผมจะลาออก... เรื่องมันยาว ไว้คราวหลังละกันนะ)

ทีนี้ ที่ผมเห็นคือ หลายๆครั้ง ทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ก็มีความกังวล มีความกลัว ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองนั้น จะดีร้ายประการใด

แน่นอน ถ้ารู้ว่ามันจะออกมาดี คงไม่มีใครมานั่งเครียด และมันก็เป็นธรรมชาติของคนเรานี่แหละ ที่จะทุกข์เสมอ เมื่อมองไปยังสิ่งที่ไม่เห็นตรงหน้าอย่าง “อนาคต”

ผมเคยเจอเคสนึง รุ่นน้องในที่ทำงานคนนึงที่ไม่เคยเป็นลูกน้องผมตรงๆหรอก ก็ทำงานกันไป วันนึงมีการปรับ organize โดยผมต้องเลือกลูกน้องให้อยู่ประจำ process ของผมตรงนี้คนนึง ซึ่งผมไม่ได้เลือกเธอ แต่ไปเลือก foreman ที่ผมสนิทสนมกว่า ทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและรู้สึกว่าเธอถูกแยกตัวเองออกจาก Comfort zone ที่เธอชอบตรงนี้ (เธอสนิทกับ foreman ของผมคนนี้มาก) และพอเธอรู้ว่าต้องถูกแยกออกไปอยู่กับหัวหน้าอีกคนที่ตำแหน่งเท่าผม แต่เขี้ยวลากดินกว่ามาก ก็กลายเป็นว่าเธอรู้สึก “กังวล” จนมันบีบคั้นเป็นความรู้สึก กอปรกับจังหวะมีงานเลี้ยง พอเหล้าเข้าปากหน่อยก็มีอารมณ์และมาตัดพ้อกับผมพร้อมน้ำตานองหน้าว่า ทำไมผมต้องทำกับเธออย่างนั้น

ผมก็อธิบายให้เธอฟังไปว่า “ผมเลือกได้แค่คนเดียว และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กจบใหม่ไม่กี่ปีอย่างเธอคือ ปล่อยให้เธอไปเจอให้ครบ”

เจอให้ครบ ในที่นี้ ผมหมายถึง คนเราต้องออกจาก Comfort zone กันบ้าง ไปอยู่ที่ๆมันอาจจะหนักหน่วงกว่าที่เก่าเราบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดเป็นแดนมิคสัญญีอะไรขนาดนั้น ก็แค่ หัวหน้าใหม่ เขี้ยวกว่าหัวหน้าเก่า (อย่างผม) แค่นั้นเอง

เธอร้องไห้และกลับบ้านไปในวันนั้นด้วยความรู้สึก “ไม่อยากยอมรับ” แต่ก็จนใจและทำอะไรไม่ได้

ล่าสุด หลังจากนั้น 3-4 ปี ผมก็เห็นว่าเธอสามารถเข้ากันได้กับแผนกเป็นอย่างดี เล่นการเมืองพอได้ และไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหัวหน้าใหม่แม้แต่น้อย ยิ่งลักษณะของเธอนั้นเป็นเด็กหัวอ่อนพอสมควร หัวหน้าว่าอะไรก็ไม่ได้ขัดหรือกระฟัดกระเฟียดใส่ นั่นทำให้เธอก้าวหน้าไปได้เป็นอย่างดี

ซึ่งดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก

และความสัมพันธ์ของเธอกับ foreman คนสนิท ก็ดีเหมือนเดิม พวกเธอยังหาโอกาสไปกินข้าว นั่งคุย นั่งเล่นกันเป็นระยะๆ อย่างไม่มีปัญหาใดๆให้กังวล

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

จริงๆคนเราทุกคนก็กลัวนั่นแหละครับ กลัวสิ่งที่มันอยู่ตรงหน้า และยังมาไม่ถึง และที่น่ากลัวกว่านั้น คือ เราทำอะไรกับมันไม่ได้ มีใครเปลี่ยนแปลงอนาคตที่ยังมองไม่เห็นได้บ้างล่ะ ไม่มีครับ มีก็แต่ การ “เตรียมพร้อม” เพื่อรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ซึ่งจริงๆก็อย่างที่บอกแหละครับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ “บริษัท” ที่เราเป็นลูกจ้างนั้น มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว และเราก็ต้องปรับตัวตามมันให้ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ซึ่งผมก็กล้าพูดครับว่า คนส่วนใหญ่นั้นทำได้ครับ มีแค่คนส่วนน้อยที่ EQ ต่ำจริงๆ ที่ไม่สามารถปรับตัวกับอะไรใหม่ๆได้เลย

และผมเชื่อว่า ทุกๆการเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องนำพามาซึ่งสิ่งดีๆให้กับเราแน่นอนครับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เราเปลี่ยนแล้วแย่เท่าไหร่หรอกครับ อาจมีบ้าง กรณีที่ได้หัวหน้าดีมาก่อน แล้วมาเจอหัวหน้าใหม่นั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ก็เท่านั้นแหละครับ นั่นก็แค่หน้าหนึ่งของชีวิต อย่าไปยึดติดอะไรกับมันมาก

ถ้าไม่พอใจในระบบ ในองค์กร ในหัวหน้า ใน ฯลฯ ก็ วางแผนครับ หาทาง ออกมาทำอะไรของตัวเองเสีย อาจไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ แต่ค่อยๆสร้าง เริ่มจาก 0 วันนี้ นับหนึ่งไปเรื่อยๆ จนวันที่เราพร้อม อาจจะไม่ได้ดีเลิศมากมายอะไรนัก แต่ถ้าเรารู้ว่า เรา “ออกมา” ได้ แล้วล่ะก็

นั่นแหละครับ การ “เริ่มต้น” เข้าสู่ “การเปลี่ยนแปลง” ที่ยิ่งใหญ่.... ยิ่งใหญ่กว่าอะไรในที่ทำงานที่เราจะได้เคยเจอมาแน่นอนครับ